อาคม ประเมินจีดีพี64โต4% ผลพวงรัฐเยียวยา-ฐานรากฟื้น
Loading

อาคม ประเมินจีดีพี64โต4% ผลพวงรัฐเยียวยา-ฐานรากฟื้น

วันที่ : 30 มีนาคม 2564
อาคม ประเมินจีดีพี64โต4%
          "อาคม" ประเมินเป้าหมายเศรษฐกิจไทยปีนี้ ขยายตัว 4% รับปัจจัยบวกจากมาตรการเยียวยาประชาชน การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และเปิดประเทศกลางปีนี้ หลังโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย สศค.เด้งรับ เตรียมพิจารณาปรับเป้าหมายใหม่ เม.ย. เผยล่าสุดยอดใช้จ่าย "เราชนะ" ทะลุ 1.78 แสนล้าน ส่วน ม33เรารักกัน ใช้จ่ายแล้ว 4.6 พันล้าน

          นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา ว่า รัฐบาลยังตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของ ไทย ในปี 2564 ขยายตัวได้ 4% โดยมีปัจจัยสนับสนุน เช่น การพัฒนา เศรษฐกิจฐานราก การเดินหน้ามาตรการเยียวยาและช่วยเหลือประชาชน ซึ่งเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ รวมถึงภาคการส่งออกที่เป็นรายได้สำคัญของไทย และยังมีการเร่งกระจายการฉีดวัคซีนโควิด-19 และเปิดประเทศรับการท่องเที่ยว นำร่องที่ภูเก็ต สมุย และเชียงใหม่ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลดีต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

          นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า กระทรวงคลังจะปรับประมาณการจีดีพีปี 2564 ใหม่ ในเดือน เม.ย.2564 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 2.8% เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง หลังจากภาพรวมเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้น ทั้งจากการส่งออก การนำเข้าสินค้าทุน และการลงทุน รวมถึงการใช้จ่ายภายในประเทศที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐ ซึ่งเป็นตัวช่วยพยุงการใช้จ่ายภายในประเทศได้เป็นอย่างดี

          "เป้าหมายตัวเลขจีดีพีในปี 2564 ที่ 4% ต้องยอมรับว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างก้าวกระโดดจากประมาณการเดิมที่ 2.8% แต่ไม่ได้บอกว่าจะเป็นไปไม่ได้ คงต้องมาพิจารณาหลายๆ ปัจจัยประกอบด้วย ทั้งตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ ภาพรวมการส่งออก ทิศทางการใช้จ่ายและการลงทุน ซึ่งหากมีแนวโน้มขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้ตัวเลขเศรษฐกิจในปีนี้เติบโตได้แข็งแกร่ง"

          นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นประกอบ เช่น มาตรการด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ที่ปัจจุบันคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น การกระจายวัคซีนที่ทำได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพใหญ่ รวมถึงการเบิกจ่าย พ.ร.ก.กู้เงินฉุกเฉิน วงเงิน 1 ล้านล้านบาทที่คาดว่าจะเบิกจ่ายได้เต็มจำนวนไม่ติดขัด และการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปกติ ขณะที่มาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) วงเงิน 3.5 แสนล้านบาท จะเอื้อให้ภาคธุรกิจเข้าถึงสินเชื่อและจะส่งผลให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รักษาการจ้างงานเป็นการช่วยเศรษฐกิจทางอ้อม

          น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ได้รับสิทธิ ผ่านโครงการเราชนะ รวมกว่า 32.4 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่าย หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 178,733 ล้านบาท ซึ่งเป็น การใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจ ท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน "ถุงเงิน" ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการจำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.2 ล้านกิจการ

          นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน กล่าวว่า ได้มีการโอน เงินงวดที่ 2 ของโครงการ ม.33เรารักกัน จำนวน 1,000 บาท ผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" ให้แก่ผู้ประกันตนที่มีสิทธิในโครงการแล้ว คงเหลืออีก 2 งวด คือ งวดที่ 3 จะโอนในวันที่ 5 เม.ย.2564 และงวดที่ 4 โอน ในวันที่ 12 เม.ย.2564 โดยภาพรวมการใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 22-28 มี.ค.2564 มียอดใช้จ่ายสะสม 4,603 ล้านบาท