แบงก์ ชูสินเชื่อดบ.ต่ำ ประคองธุรกิจ เลิกจ้าง
วันที่ : 16 พฤศจิกายน 2563
เเบงก์ ลุย ชู สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ พยุงธุรกิจเลิกจ้าง
"แบงก์" เดินหน้าปล่อย สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพยุงธุรกิจเลิกจ้าง "กสิกรไทย"ยืดโครงการ"สินเชื่อ 0% - เถ้าแก่ใจดีเจ้าหนี้มีใจ"จนกว่าลูกค้าพ้นวิกฤติ "กรุงไทย"เติมสภาพคล่องธุรกิจ หวังเป็นกลไกดันเศรษฐกิจฟื้นตัว "ออมสิน"เพิ่มวงเงินกู้ซอฟท์โลนเป็น 100 ล้านบาทต่อราย เปิดทางรายใหญ่ขอกู้
ในการแก้ปัญหาการว่างงาน นอกจาก จะช่วยเหลือแรงงานโดยตรงแล้ว การช่วยเหลือ ทางการเงินแก่"ผู้ประกอบการ" เพื่อให้ธุรกิจยังคงเดินต่อไปได้ ถือเป็นอีกแนวทางในการ"พยุง"การเลิกจ้างแรงงาน
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันธนาคารได้มีส่วนในการช่วยพยุงการจ้างงาน ช่วยแรงงานในระบบเศรษฐกิจ ค่อนข้างมาก ซึ่งทำผ่านทั้งโครงการ "เถ้าแก่ใจดี เจ้าหนี้มีใจ"ซึ่งเริ่มเมื่อเดือนเม.ย.2563 เพื่อช่วยพนักงานที่มีรายได้น้อย ให้อยู่รอด โดยร่วมมือกับเถ้าแก่หรือบริษัทในการจ่าย เงินเดือนให้กับพนักงานเป็นเวลา 6 เดือน โดยมีวงเงินปล่อยสินเชื่อ 500 ล้านบาท ล่าสุดเดือนพ.ย.มีพนักงานที่ได้รับการช่วยเหลือ ผ่านโครงการนี้แล้ว 7,732 ราย โดยคิดเป็น การให้ส่วนลดดอกเบี้ยรวม 162 ล้านบาท
รวมไปถึง โครงการ "สินเชื่อ 0%" เพื่อรักษา คนงานเอสเอ็มอี เพื่อให้เจ้าของเอสเอ็มอีขนาดเล็ก รักษาการจ้างงานไว้ได้ โดยให้ สินเชื่อ 0% ผ่อนนาน 10ปี ไม่มีหลักประกัน ไม่มีค่าธรรมเนียม โดยโครงการนี้ มีพนักงานที่ได้รับการช่วยเหลือโครงการนี้ 40,748 ราย วงเงินช่วยเหลือรวม 978 ล้านบาท
ลุย"ปล่อยกู้"พยุงจ้างงาน
นางสาวขัตติยา กล่าวว่า ทั้งสองโครงการปัจจุบันธนาคารยังคงให้สินเชื่ออย่างต่อเนื่องกระจายไปสู่ทั่วประเทศและจะยังอยู่ต่อเนื่องไปกว่าผลกระทบจากโควิด-19 จะหายไป เพราะคาดว่ากว่าเศรษฐกิจจะฟื้นจากผลกระทบ ดังกล่าว ต้องใช้เวลา 2-3 ปี ดังนั้นสิ่งที่ธนาคารทำได้คือ ใส่สภาพคล่องเพื่อให้บริษัทต่างๆใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ในการรักษา การจ้างงาน และรักษาแรงงานให้คงอยู่ ต่อไปได้
"ปัจจุบันมีหลายโครงการที่ช่วยเหลือในช่วงโควิด-19 ที่เราต้องช่วยไปจนกว่างบจะหมด เบื้องต้นเราตั้งงบในการช่วยเหลือการจ้างงาน ช่วยแรงงานราว 1,000 ล้านบาทปัจจุบันยังมีงบเหลือเพียงพอ โดยเฉพาะเถ้าแก่ใจดีเจ้าหนี้มีใจ ที่ปัจจุบันใช้งบไปแล้วครึ่งหนึ่งของงบที่วางไว้ แต่การช่วยเหลือจะเกาะไปกับมาตรการรัฐว่าให้ไปช่วยเหลือตรงไหนพื้นที่ไหน เพราะเราไม่สามารถช่วยในพื้นที่เดียว ดังนั้นเราก็ต้องพยายามให้เงินไปช่วยจุดที่ลำบากก่อนเหมือนภูเก็ตที่เริ่มทำเป็นที่แรกๆ"นางสาวขัตติยา กล่าว
"กรุงไทย"ช่วยแรงงานรอบด้าน
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่าปัจจุบัน ธนาคาร กรุงไทยได้ช่วยเหลือแรงงาน และมีส่วนร่วมในการเป็นกลไกในการรักษาการจ้างงานตามบทบาทของธนาคารอยู่แล้ว โดยเฉพาะที่ผ่านมา ธนาคารได้รับแรงงานบ้างส่วนที่เป็นนิสิต จบใหม่ เพื่อเข้ามาทำด้านนวัตกรรม
ขณะเดียวกันธนาคารก็ยังเป็นกลไกในการช่วยดูแลเศรษฐกิจและดูแลแรงงาน ตามบทบาทธนาคารอยู่แล้วผ่านการให้ สภาพคล่องบริษัทต่างๆ เพื่อให้เงินส่วนนี้ นำไปสู่การช่วยเหลือแรงงานรักษาการจ้างงานให้คงอยู่ได้ รวมถึงการพยายามช่วยบริษัทต่างๆปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้บริษัทเหล่านี้ มีศักยภาพในการทำธุรกิจ และดูแรงงานในปัจจุบันต่อไปได้
"ธนาคารก็พยายามช่วยบริษัทต่างๆ ให้สามารถอยู่รอดได้ทั้งการให้สภาพคล่อง และการฟื้นฟูธุรกิจ เพื่อให้บริษัทเหล่านี้ยังมีศักยภาพการจ้างงานได้ต่อในอนาคต เพราะธนาคารเป็นกลไกสำคัญในการดูแลธุรกิจ และเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า"
"ออมสิน"เร่งเพิ่มวงเงินซอฟท์โลน
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงการคลัง ได้รับมอบนโยบายจากนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้พิจารณาเพิ่มวงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ(ซอฟท์โลน) ที่ปล่อยให้กับ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อเป็น ส่วนหนึ่งในการเพิ่มสภาพคล่อง และรักษาการจ้างงานในระบบ
ทั้งนี้ปัจจุบันคณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้อนุมัติเพิ่มวงเงินกู้ซอฟท์โลนดังกล่าวจาก 20 ล้านบาทต่อราย เป็น 100 ล้านบาทต่อราย โดยให้ธนาคารออมสินเป็นผู้ปล่อยให้ธนาคารพาณิชย์ในอัตราดอกเบี้ย 0.01%ต่อปี และให้ธนาคารพาณิชย์นำไปปล่อยให้แก่ผู้ประกอบการ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2% ต่อปี
"เราได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังไปพิจารณาเรื่องการเพิ่มวงเงินกู้ ดังกล่าวว่า ควรจะเป็นวงเงินเท่าใดอที่จะเหมาะสม และรองรับปัญหาของผู้ประกอบการท่องเที่ยว ในขณะนี้"
เขากล่าวว่า ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้สนับสนุนมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศเพื่อเพิ่มกำลังซื้อและช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยวมาหลายมาตรการ ล่าสุด มาตรการเราเที่ยวด้วยกันยังอยู่ระหว่างการดำเนินมาตรการ ซึ่งขณะนี้ยังเหลือสิทธิ ที่ประชาชนจะเข้าไปใช้ได้ถึง 2 ล้านสิทธิจากที่เปิดให้ทั้งหมด 5 ล้านสิทธิ
"ออมสิน"ชี้รายใหญ่ลังเลยื่นกู้
ด้านนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า หลังจากที่ธนาคารเปิดวงเงินกู้ซอฟท์โลนวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท เพื่อช่วยผู้ประกอบการท่องเที่ยว จนถึงขณะนี้ วงเงินกู้ที่ปล่อยให้ธนาคารพาณิชย์นั้นมีไม่มากนัก สาเหตุหนึ่งเข้าใจว่า ธนาคารพาณิชย์มีความกังวลเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อให้ ผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าว เนื่องจากยังประสบ ปัญหาเกี่ยวกับจำนวนนักท่องเที่ยว ซึ่งอาจจะ กระทบต่อรายได้ ดังนั้นยอดการปล่อยและขอกู้ซอฟท์โลนยังมีจำนวนที่ไม่มากนัก
เขากล่าวว่า การที่ครม.อนุมัติวงเงินซอฟท์โลนเพิ่มเติมจาก 20 ล้านบาทต่อราย เป็น 100 ล้านบาทต่อราย ก็เข้าใจว่ จะทำให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยกู้ได้มากขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการที่จะเข้ามากู้จะเป็นรายใหญ่มากขึ้น ทำให้สามารถประเมินและวิเคราะห์สินเชื่อได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ครม.ได้ขยายระยะเวลาซอฟท์โลนดังกล่าวออกไปจากสิ้นปีนี้ เป็นสิ้นเดือนมิ.ย.ปีหน้า
ทั้งนี้หากแยกตามขนาดธุรกิจที่ได้รับซอฟท์โลน พบว่าเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่มีวงเงินสินเชื่อ 0-20 ล้านบาท ณ สิ้นปี 25862 อยู่ราว 76.2% หรือ คิดเป็น 54,710 ราย ขณะที่เป็นธุรกิจขนาดกลางที่มีวงเงินสินเชื่อที่ 20-100 ล้านบาท 17.3% หรือ12,454 ราย และเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มีวงเงิน 100-500 ล้านบาท 6.4 % หรือ 4,626 ราย
ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เปิดเผยความคืบหน้าโครงการสินเชื่อซอฟท์โลน ของธปท.วงเงิน 5 แสนล้านบาท ณ 4 พ.ย. มียอดการปล่อยสินเชื่อแล้ว 120,203 ล้านบาท โดยผู้ที่ได้รับซอฟท์โลน 71,790 ราย วงเงินเฉลี่ย ในการอนุมัติอยู่ที่ 1.7 ล้านบาทต่อราย
ในการแก้ปัญหาการว่างงาน นอกจาก จะช่วยเหลือแรงงานโดยตรงแล้ว การช่วยเหลือ ทางการเงินแก่"ผู้ประกอบการ" เพื่อให้ธุรกิจยังคงเดินต่อไปได้ ถือเป็นอีกแนวทางในการ"พยุง"การเลิกจ้างแรงงาน
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันธนาคารได้มีส่วนในการช่วยพยุงการจ้างงาน ช่วยแรงงานในระบบเศรษฐกิจ ค่อนข้างมาก ซึ่งทำผ่านทั้งโครงการ "เถ้าแก่ใจดี เจ้าหนี้มีใจ"ซึ่งเริ่มเมื่อเดือนเม.ย.2563 เพื่อช่วยพนักงานที่มีรายได้น้อย ให้อยู่รอด โดยร่วมมือกับเถ้าแก่หรือบริษัทในการจ่าย เงินเดือนให้กับพนักงานเป็นเวลา 6 เดือน โดยมีวงเงินปล่อยสินเชื่อ 500 ล้านบาท ล่าสุดเดือนพ.ย.มีพนักงานที่ได้รับการช่วยเหลือ ผ่านโครงการนี้แล้ว 7,732 ราย โดยคิดเป็น การให้ส่วนลดดอกเบี้ยรวม 162 ล้านบาท
รวมไปถึง โครงการ "สินเชื่อ 0%" เพื่อรักษา คนงานเอสเอ็มอี เพื่อให้เจ้าของเอสเอ็มอีขนาดเล็ก รักษาการจ้างงานไว้ได้ โดยให้ สินเชื่อ 0% ผ่อนนาน 10ปี ไม่มีหลักประกัน ไม่มีค่าธรรมเนียม โดยโครงการนี้ มีพนักงานที่ได้รับการช่วยเหลือโครงการนี้ 40,748 ราย วงเงินช่วยเหลือรวม 978 ล้านบาท
ลุย"ปล่อยกู้"พยุงจ้างงาน
นางสาวขัตติยา กล่าวว่า ทั้งสองโครงการปัจจุบันธนาคารยังคงให้สินเชื่ออย่างต่อเนื่องกระจายไปสู่ทั่วประเทศและจะยังอยู่ต่อเนื่องไปกว่าผลกระทบจากโควิด-19 จะหายไป เพราะคาดว่ากว่าเศรษฐกิจจะฟื้นจากผลกระทบ ดังกล่าว ต้องใช้เวลา 2-3 ปี ดังนั้นสิ่งที่ธนาคารทำได้คือ ใส่สภาพคล่องเพื่อให้บริษัทต่างๆใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ในการรักษา การจ้างงาน และรักษาแรงงานให้คงอยู่ ต่อไปได้
"ปัจจุบันมีหลายโครงการที่ช่วยเหลือในช่วงโควิด-19 ที่เราต้องช่วยไปจนกว่างบจะหมด เบื้องต้นเราตั้งงบในการช่วยเหลือการจ้างงาน ช่วยแรงงานราว 1,000 ล้านบาทปัจจุบันยังมีงบเหลือเพียงพอ โดยเฉพาะเถ้าแก่ใจดีเจ้าหนี้มีใจ ที่ปัจจุบันใช้งบไปแล้วครึ่งหนึ่งของงบที่วางไว้ แต่การช่วยเหลือจะเกาะไปกับมาตรการรัฐว่าให้ไปช่วยเหลือตรงไหนพื้นที่ไหน เพราะเราไม่สามารถช่วยในพื้นที่เดียว ดังนั้นเราก็ต้องพยายามให้เงินไปช่วยจุดที่ลำบากก่อนเหมือนภูเก็ตที่เริ่มทำเป็นที่แรกๆ"นางสาวขัตติยา กล่าว
"กรุงไทย"ช่วยแรงงานรอบด้าน
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่าปัจจุบัน ธนาคาร กรุงไทยได้ช่วยเหลือแรงงาน และมีส่วนร่วมในการเป็นกลไกในการรักษาการจ้างงานตามบทบาทของธนาคารอยู่แล้ว โดยเฉพาะที่ผ่านมา ธนาคารได้รับแรงงานบ้างส่วนที่เป็นนิสิต จบใหม่ เพื่อเข้ามาทำด้านนวัตกรรม
ขณะเดียวกันธนาคารก็ยังเป็นกลไกในการช่วยดูแลเศรษฐกิจและดูแลแรงงาน ตามบทบาทธนาคารอยู่แล้วผ่านการให้ สภาพคล่องบริษัทต่างๆ เพื่อให้เงินส่วนนี้ นำไปสู่การช่วยเหลือแรงงานรักษาการจ้างงานให้คงอยู่ได้ รวมถึงการพยายามช่วยบริษัทต่างๆปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้บริษัทเหล่านี้ มีศักยภาพในการทำธุรกิจ และดูแรงงานในปัจจุบันต่อไปได้
"ธนาคารก็พยายามช่วยบริษัทต่างๆ ให้สามารถอยู่รอดได้ทั้งการให้สภาพคล่อง และการฟื้นฟูธุรกิจ เพื่อให้บริษัทเหล่านี้ยังมีศักยภาพการจ้างงานได้ต่อในอนาคต เพราะธนาคารเป็นกลไกสำคัญในการดูแลธุรกิจ และเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า"
"ออมสิน"เร่งเพิ่มวงเงินซอฟท์โลน
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงการคลัง ได้รับมอบนโยบายจากนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้พิจารณาเพิ่มวงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ(ซอฟท์โลน) ที่ปล่อยให้กับ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อเป็น ส่วนหนึ่งในการเพิ่มสภาพคล่อง และรักษาการจ้างงานในระบบ
ทั้งนี้ปัจจุบันคณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้อนุมัติเพิ่มวงเงินกู้ซอฟท์โลนดังกล่าวจาก 20 ล้านบาทต่อราย เป็น 100 ล้านบาทต่อราย โดยให้ธนาคารออมสินเป็นผู้ปล่อยให้ธนาคารพาณิชย์ในอัตราดอกเบี้ย 0.01%ต่อปี และให้ธนาคารพาณิชย์นำไปปล่อยให้แก่ผู้ประกอบการ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2% ต่อปี
"เราได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังไปพิจารณาเรื่องการเพิ่มวงเงินกู้ ดังกล่าวว่า ควรจะเป็นวงเงินเท่าใดอที่จะเหมาะสม และรองรับปัญหาของผู้ประกอบการท่องเที่ยว ในขณะนี้"
เขากล่าวว่า ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้สนับสนุนมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศเพื่อเพิ่มกำลังซื้อและช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยวมาหลายมาตรการ ล่าสุด มาตรการเราเที่ยวด้วยกันยังอยู่ระหว่างการดำเนินมาตรการ ซึ่งขณะนี้ยังเหลือสิทธิ ที่ประชาชนจะเข้าไปใช้ได้ถึง 2 ล้านสิทธิจากที่เปิดให้ทั้งหมด 5 ล้านสิทธิ
"ออมสิน"ชี้รายใหญ่ลังเลยื่นกู้
ด้านนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า หลังจากที่ธนาคารเปิดวงเงินกู้ซอฟท์โลนวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท เพื่อช่วยผู้ประกอบการท่องเที่ยว จนถึงขณะนี้ วงเงินกู้ที่ปล่อยให้ธนาคารพาณิชย์นั้นมีไม่มากนัก สาเหตุหนึ่งเข้าใจว่า ธนาคารพาณิชย์มีความกังวลเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อให้ ผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าว เนื่องจากยังประสบ ปัญหาเกี่ยวกับจำนวนนักท่องเที่ยว ซึ่งอาจจะ กระทบต่อรายได้ ดังนั้นยอดการปล่อยและขอกู้ซอฟท์โลนยังมีจำนวนที่ไม่มากนัก
เขากล่าวว่า การที่ครม.อนุมัติวงเงินซอฟท์โลนเพิ่มเติมจาก 20 ล้านบาทต่อราย เป็น 100 ล้านบาทต่อราย ก็เข้าใจว่ จะทำให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยกู้ได้มากขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการที่จะเข้ามากู้จะเป็นรายใหญ่มากขึ้น ทำให้สามารถประเมินและวิเคราะห์สินเชื่อได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ครม.ได้ขยายระยะเวลาซอฟท์โลนดังกล่าวออกไปจากสิ้นปีนี้ เป็นสิ้นเดือนมิ.ย.ปีหน้า
ทั้งนี้หากแยกตามขนาดธุรกิจที่ได้รับซอฟท์โลน พบว่าเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่มีวงเงินสินเชื่อ 0-20 ล้านบาท ณ สิ้นปี 25862 อยู่ราว 76.2% หรือ คิดเป็น 54,710 ราย ขณะที่เป็นธุรกิจขนาดกลางที่มีวงเงินสินเชื่อที่ 20-100 ล้านบาท 17.3% หรือ12,454 ราย และเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มีวงเงิน 100-500 ล้านบาท 6.4 % หรือ 4,626 ราย
ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เปิดเผยความคืบหน้าโครงการสินเชื่อซอฟท์โลน ของธปท.วงเงิน 5 แสนล้านบาท ณ 4 พ.ย. มียอดการปล่อยสินเชื่อแล้ว 120,203 ล้านบาท โดยผู้ที่ได้รับซอฟท์โลน 71,790 ราย วงเงินเฉลี่ย ในการอนุมัติอยู่ที่ 1.7 ล้านบาทต่อราย
ข่าวนโยบายการเงิน-การคลัง อื่นๆ