ORIบุกศรีราชา
Loading

ORIบุกศรีราชา

วันที่ : 6 มีนาคม 2560
ORIบุกศรีราชา

ยินดี ฤติวิรุฬห์

 

ออริจิ้นพร็อพเพอร์ตี้บุกศรีราชา โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) นอกจากจะกระตุ้นในเรื่องของกิจกรรมทางเศรษฐกิจแล้วยังเอื้อให้ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย หรือโครงการอสังหาริมทรัพย์จะได้รับอานิสงส์เชิงบวกไปด้วย

 

บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) ของพีระพงศ์ จรูญเอก ประธาน เจ้าหน้าที่บริหารและเจ้าของผู้ก่อตั้ง ก็เห็นโอกาสจึงได้ตัดสินใจเข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการแบบผสมผสานที่มีทั้งคอนโดมิเนียม โรงแรม และคอมมูนิตี้มอลล์ ใน อ.ศรีราชา ซึ่งมีมูลค่าลงทุนรวม 6,000-7,000 ล้านบาท ขยายจากเดิมที่จะเป็นผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ริมรถไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ Notting Hill, Knights Bridge Prime Sathorn และ Kensington

 

พีระพงศ์ กล่าวว่า บริษัทได้ติดตามนโยบายของรัฐบาลในเรื่องของอีอีซีมาโดยตลอดและเมื่อเห็นว่า โครงการนี้เกิดแน่เพราะพื้นที่ภาคตะวันออกเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่ดีที่สุดของประเทศ และเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่ทำรายได้จากการส่งออกให้กับประเทศมากถึง 70% จ.ระยอง ชลบุรี ถือว่าเป็นพื้นที่กลางหัวใจเพราะอยู่ที่แหลมฉบัง บ่อวิน และท่าเรือในพื้นที่ ซึ่งเมื่อเห็นภาพอย่างนี้ บริษัทจึงตัดสินใจในการเข้าไปซื้อที่ดินในช่วงก่อนหน้าที่ อ.ศรีราชา เพราะมองแล้วว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยครบวงจร ทั้งคอนโดมิเนียม คอมมูนิตี้มอลล์และโรงแรม ไว้รองรับการเคลื่อนย้ายเข้ามาทำงาน

 

"โครงการของบริษัทมีทั้งคอนโด มิเนียมรวมจำนวนยูนิตของทุกโครงการรวมกัน 2,000 ยูนิต และโรงแรมที่ได้เชนของฮอลิเดย์อินเข้ามาบริหารจำนวน 350 ห้องไว้รองรับ ซึ่งทุกๆ โครงการมีความคืบหน้าในเรื่องของยอดพรีเซลประมาณ 70% ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับดีมากและโครงการที่ศรีราชาจะเป็นโครงการที่สร้างรายได้ประจำให้กับบริษัทนอกเหนือจากการขาย"

 

ทั้งนี้ อนาคตบริษัทจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำให้มากขึ้น เพื่อเสถียรภาพของผลประกอบการ โดยตั้งเป้าจะมีสัดส่วนรายได้ประจำแตะ 10% จากปัจจุบันภายในปี 2564 ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงแรม 1 แห่ง คือ ฮอลิเดย์ อินน์ แหลมฉบัง-บ่อวิน ซึ่งจะแล้วเสร็จปี 2562 และมีแผนจะเปิดอีก 2 โรงแรม ที่ทองหล่อ และศรีราชา ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างได้ช่วงไตรมาส 2 นี้

 

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจขยายการลงทุนสู่ศรีราชานั้นบริษัทได้มีการทำการวิจัยทางการตลาดและพบว่าการตัดสินใจมาลงทุนเป็นเรื่องที่ถูกเพราะจากผลการวิจัยพบว่า คนที่ทำงานในศรีราชาโดยเฉพาะในส่วนของผู้บริหารมีเงินเดือนต่อเดือนต่อคนอยู่ที่ 7 หมื่นบาท และยังพบว่าเป็นกลุ่มคนจากญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานเยอะมาก และเมื่อบริษัทไม่สร้างโครงการที่ครบวงจร ทำให้ก่อนหน้าครอบครัวของคนญี่ปุ่นที่อยู่ในกรุงเทพฯ แถวทองหล่อเสาร์อาทิตย์ กลับจากศรีราชามากรุงเทพฯ ก็ ไม่จำเป็นแล้วและสามารถนำครอบครัวไปได้เลยเพราะมีครบทุกอย่างเช่นกัน

 

"ORI ถือว่าเป็นผู้ประกอบการรายแรกๆ ที่เป็นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เข้าไปลงทุนที่ศรีราชา ดังนั้น ความคืบหน้าต่างๆ จึงมีมาก และในขณะนี้มีผู้ประกอบการหลายๆ รายได้เห็นโอกาสและเริ่มเข้าไปพัฒนามากขึ้น"

 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า ในส่วนของเป้าหมายรายได้บริษัทปีนี้หวังไว้ที่ 6,000 ล้านบาท โต 88% จากปีก่อน 88% และรักษาอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูงใกล้เคียงปีก่อนที่ประมาณ 45.3% โดยปัจุจบันมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) 1.28 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ภายใน 3 ปี โดยจะรับรู้ในปีนี้ 4,000 ล้านบาท รวมถึงมีสต๊อกเหลือขาย 700 ยูนิต มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท

 

สำหรับส่วนยอดขายในปีนี้ตั้งเป้า 1.3 หมื่นล้านบาท โดยในไตรมาสแรกคาดว่าจะได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท จากการเปิดโครงการใหม่คอนโดมิเนียม Notting Hill สุขุมวิท 105 ขณะที่การเปิดโครงการใหม่ 9 แห่ง มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 8 โครงการ และโครงการแนวราบ 1 โครงการ ซึ่งบริษัทจะมีสินค้าราคาปานกลางถึงสูงมากขึ้น ที่เฉลี่ย 1.1-2 แสนบาท/ตารางเมตร ซึ่งบริษัทได้ตั้งงบซื้อที่ดินตั้งไว้ที่ 3,000 ล้านบาท ยังเน้นสนใจทำเลที่ติดกับรถไฟฟ้าใจกลางเมือง

 

พีระพงศ์ กล่าวว่า ในส่วนของเงินทุนไม่มีปัญหาส่วนหนึ่งมาจากเงินที่บริษัทได้เสนอขายหุ้นให้กับประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) ซึ่งยังเหลืออยู่และยังสามารถระดมเงินด้วยการออกหุ้นกู้ ซึ่งที่ผ่านมาได้ออกและเสนอขายหุ้นกู้ไปแล้วและในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นจะขอวงเงินในการออกหุ้นกู้เพิ่มขึ้นด้วย

 

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเข้าจดเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมากเพราะนอกจากทำให้เงินทุนในการขยายธุรกิจแล้วยังทำให้นักลงทุนและผู้บริโภครู้จักและมั่นใจในแบรนด์ของบริษัท ซึ่งทำให้การขายทำได้ในระยะเวลาที่เร็วขึ้น

 

ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2559 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 6,758.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ซึ่งอยู่ 3,347.49 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 637.56 ล้านบาท โตขึ้นจากปี 2558 ซึ่งอยู่ที่ 386.32 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคา ตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) ล่าสุดอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท จาก 5,286 ล้านบาท เมื่อสิ้นปี 2559 และ 8,040 ล้านบาท เมื่อปี 2558

ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

 

 

 

ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ