เซ็นจูรี่ฯ สบช่องตลาดคอนโดฯขาลงงัดโมเดลการันตีลูกค้าตปท.-ไทยซื้อห้องชุด
"เซ็นจูรี่" ผนึกพันธมิตร"แองเจิล เรียล เอสเตท คอนซัลแทนซี่" บุกเจาะตลาดคอนโดฯ ผ่านออฟไลน์ เสนอโมเดลการันตีลูกค้าต่างชาติ-คนไทย เชื่อมั้นสร้างยอดขายให้กับโครงการของลูกค้า หนุนกระแสเงินสด ลดต้นทุน แย้ม 6 เดือน ทำยอดขาย 7,000 ล้านบาท วางเป้าทั้งปี 15,000 ล้านบาท ล่าสุดทุ่ม 40 ล้านบาท ควบรวม "ดาต้า ไดรฟ์" สร้างระบบรองรับให้ความสะดวกผู้ประกอบการ
นาย กิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจการบริหารการขายและการตลาด(เอเยนต์)ว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การแข่งขันสูง เนื่องจากนักพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยได้เปลี่ยนแปลงวิธีการขายผ่านตัวแทนขาย หรือ Co Agent มากขึ้น ดังนั้น เพื่อช่วยในการขายโครงการคอนโดมิเนียมให้รวดเร็วขึ้นนั้น ตนได้ลงทุนร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัท แองเจิล เรียล เอสเตท คอนซัลแทนซี่ (Angel Real Estate Consultancy) เพื่อรุกตลาดออฟไลน์ ในการเข้าไปบริหารห้องชุดให้กับนักพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมกรุงเทพฯและในหัวเมืองท่องเที่ยว
ซึ่งวิธีการ ทางบริษัทจะเข้าไปบริหารห้องชุดให้กับโครงการคอนโดมิเนียม โดยจะ การันตีการขายในส่วนของลูกค้าชาวต่างชาติตามกฎหมายในเพดาน 49% และส่วนของ ลูกค้าคนไทยอีก 30% โดยทางบริษัท แองเจิลฯจะอาศัยเครือขายเอเยนต์กว่า 700-800 ราย ในหลายประเทศทำการหาลูกค้าให้กับโครงการ ส่วนในไทยมีประมาณ 80 คน ซึ่งวิธีการ ดังกล่าวจะช่วยบริหารต้นทุน ดอกเบี้ย บริหารกระแสเงินสดให้กับทางโครงการผ่านการจ่ายเงินดาวน์ในสัดส่วน 25-30%
"หลังจากนำร่องโมเดลมา 6 เดือน ปรากฏว่าลูกค้าต่างประเทศให้การตอบรับดี โดยสามารถทำยอดขายได้ 6,000-7,000 ล้านบาท จากเป้าที่วางไว้ทั้งปี 15,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นจำนวนหน่วย 3,500 ยูนิต โดยโครงการที่นำเสนอจะอยู่ระหว่างการก่อสร้าง เนื่องจากลูกค้าจะได้ส่วนต่างจากการลงทุนและราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับสูงขึ้น และการนำผลตอบแทนกลับคืน ทั้งนี้ จากการสังเกตพฤติกรรมของลูกค้าต่างชาติ ชาวจีน สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย จะนิยมในทำเลที่มีศักยภาพ แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อ เช่น โซนรัชดาภิเษก สุขุมวิท สีลม สยาม สามย่าน เป็นต้น หรือหากเป็นในต่างจังหวัด จะเป็นในเชียงใหม่ และพัทยา อย่างไรก็ตาม ในประเด็นที่หากโครงการมีความกังวล ทางบริษัท แองเจิลฯ ก็พร้อมทดลองจ่ายเงิน เพื่อสร้างความมั่นใจ ปัจจุบัน บริษัทมีเงินลงทุนประมาณ 200-300 ล้านบาท ทั้งนี้ สินค้าที่เหมาะในการทำตลาดจะอยู่ระหว่าง 80,000 บาท ถึง 2.5 แสนบาทต่อตร.ม. ซึ่งจะเป็นกลุ่มลูกค้ารายย่อย แต่หากเกินกว่า 2.5 แสนบาทต่อตร.ม.จะเป็นกลุ่มนักลงทุนระดับบน ที่มีข้อมูลและโอกาสเลือกลงทุนได้มาก"
นอกจากนี้ บริษัทได้เทกโอเวอร์บริษัทเกี่ยวกับ ดาต้า (ดาต้า ไดรฟ์) ประมาณ 40 ล้านบาท เพื่อเป็นการสร้างธุรกิจเอเยนต์ทางออนไลน์ ซึ่งจะสามารถสร้างเน็ตเวิร์กได้ทั่วโลก โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นมากกว่า 62%
สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ เชื่อว่าจะยังเติบโตได้ในทิศทางที่ดี ซึ่งโครงการแนวราบจะมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ส่วนโครงการคอนโดมิเนียม เชื่อว่าอาจมีโครงการใหม่ออกมาไม่มากนัก ขณะที่ระดับราคาที่จะมีการพัฒนามากที่สุด จะเป็นโครงการในระดับบน ส่วนโครงการระดับล่างมองว่ายังน่าเป็นห่วง เนื่องจากประสบปัญหาการกู้ สินเชื่อบ้านไม่ผ่านและจากภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงมีอยู่สูง
ที่มา : ผู้จัดการรายวัน 360 องศา