ธปท.ไร้กังวลอสังหาฯล้นเคลียร์สต็อก
Loading

ธปท.ไร้กังวลอสังหาฯล้นเคลียร์สต็อก

วันที่ : 11 กรกฎาคม 2560
ธปท.ไร้กังวลอสังหาฯล้นเคลียร์สต็อก
"ธปท.ไร้กังวลอสังหาฯล้นเคลียร์สต็อก

"แบงก์ชาติ" ยอมรับภาคอสังหาฯ มีภาวะสินค้าล้นตลาดในบางจุด แต่ยืนยันไม่น่ากังวล เหตุไร้แรงเก็งกำไรเหมือนอดีต  ไม่พบแบงก์แข่งปล่อยกู้ ขณะผู้ประกอบการเร่งระบายสินค้าเก่า ชี้กลุ่มชอปปิงมอลล์มีปัจจัยท้าทายจากช้อปออนไลน์ ประเมินแนวโน้มบาทยังผันผวน จี้ผู้ประกอบการเร่งทำ"เฮดจิ้ง"

ในภาวะที่ดอกเบี้ยอยู่ระดับต่ำเป็น เวลานาน ทำให้นักธุรกิจและผู้มีเงินออม บางส่วน หันมาลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์กันมากขึ้น จนนักเศรษฐศาสตร์หลายคน เริ่มแสดงความเห็นห่วงเกี่ยวกับภาวะ สินค้าล้นตลาด หรือ "โอเวอร์ซัพพลาย" การหารือระหว่าง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กับผู้บริหาร ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า มีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาหารือกัน

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า ภาวะโอเวอร์ซัพพลาย ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ยอมรับว่ามีบ้าง ซึ่งธปท.ก็ติดตามดูอยู่ และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เองก็เริ่มเห็นสถานการณ์เหล่านี้ แต่โดยภาพรวมยังไม่น่าเป็นห่วง และยังไม่เห็นปัจจัยใดที่จะสร้างความเสี่ยงเหมือนในอดีต

"โอเวอร์ซัพพลายมีบ้างเราก็เห็น ผู้ประกอบการก็เห็น แต่เป็นเพียงบางจุดปีนี้ ได้ทำเซอร์เวย์ พบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ แทนที่จะเปิดโครงการใหม่ๆ เขาก็หันมาขาย โครงการที่ผลิตออกมาแล้ว มาขายของเดิมๆ เพื่อเคลียร์ปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย"

เวลาพูดถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ ต้องแบ่ง เป็นรายกลุ่ม เช่น สำนักงานออฟฟิศ คอนโด บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ ตลอดจนศูนย์การค้า

ไร้สัญญาณเก็งกำไร

นายวิรไท กล่าวว่าแม้ปัจจุบันจะมีปัญหาโอเวอร์ซัพพลายอยู่บ้าง แต่ก็เกิดเพียง บางจุด และยังไม่เห็นปัจจัย หรืออาการใดที่เป็นความเสี่ยงเหมือนในอดีต เช่น คนมาแย่งกันซื้อใบจอง แต่ไม่ได้ต้องการอยู่จริง จนกลายเป็นดีมานด์เทียม

"ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต คือ คนมาแย่งกัน ซื้อใบจอง เพื่อหวังเก็งกำไร แต่พอโอนจริงๆ ไม่มีใครมาโอน จนโครงการล้มไป ซึ่งเรายังไม่เห็นแบบนั้น และเราก็ยังไม่เห็นว่า แบงก์แย่งกันปล่อยสินเชื่อ หรือแข่งกันปล่อย สินเชื่อเพื่อไปรีไฟแนนซ์โครงการ"

ห่วงกู้สั้นไปลงทุนยาว

ทั้งนี้ความเป็นห่วงขณะนี้ อาจมีบ้างที่ ผู้ประกอบการหันไปพึ่งตลาดตราสารหนี้กันมากขึ้น โดยเฉพาะรายที่ได้เรทติ้งต่ำๆ ระดมทุนสั้นๆ แต่สิ่งเหล่านี้ทั้ง ธปท. และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ก็คอยระวังอยู่ อีกทั้งเวลาที่ขาย ก็ขายให้เฉพาะนักลงทุนที่ไม่ใช่รายย่อย(เอไอ)

"สิ่งที่เราไม่อยากเห็น คือ การกู้ยืมระยะสั้นๆ แล้วมาลงทุนโครงการยาวๆ หรือไปซื้อแลนด์แบงก์ยาวๆ เพราะอาจเกิด Maturity Mismatch เหมือนที่เกิดเมื่อปี 2540 ได้"

ภาคธุรกิจเริ่มระดมทุนยาวขึ้น

นายวิรไท กล่าวว่าการที่เริ่มมีบางบริษัทผิดนัดชำระหนี้(ดีฟอลท์) ในตั๋วแลกเงิน(บีอี) ที่เป็นการระดมทุนระยะสั้นๆ และทำให้การออกตั๋วบีอีเริ่มลดลง หากมองในอีกด้าน ถือเป็นเรื่องดี เพราะทำให้ผู้ประกอบการเกิดการปรับตัว หันไปออกตราสารระยะยาว มากขึ้น ซึ่งช่วยลดภาวะ Maturity Mismatch ลงได้ ขณะที่ก่อนหน้านี้พบว่า บริษัทบางรายกู้ยืมเงินระยะสั้นถึง 50-60% ของเงินกู้ทั้งหมด ก็ทำให้บริษัทเหล่านี้ หันมากู้เงินระยะยาวมากขึ้น ลดความเสี่ยงลง

จับตาชอปปิงมอลล์

ส่วนภาวะโอเวอร์ซัพพลายในอสังหาริมทรัพย์ประเภทศูนย์การค้า อย่างคอมมูนิตี้มอลล์ หรือ ชอปปิงมอลล์ นั้น ธปท. ได้ติดตามดูอยู่ ซึ่งก็อาจมีบ้าง แต่ยอมรับว่ายังไม่มีข้อมูลมากเท่ากับคอนโดมิเนียม

อสังหาริมทรัพย์กลุ่มนี้ เบื้องต้นมีความท้าทายเพิ่มเติมจากกระแสที่คนหันมาซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น จึงเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการเองก็ต้องปรับตัว

เงินบาทแนวโน้มผันผวน

นอกจากนี้ นายวิรไท กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทว่า แนวโน้มระยะข้างหน้ายังคงมีความผันผวนที่สูงอยู่ ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและส่งออกไม่ควรประมาท ควรต้องทำประกันความเสี่ยง(เฮดจิ้ง) อัตราแลกเปลี่ยนไว้ตลอด

"โจทย์ที่เราเห็นและพยายามชี้ให้เขา (ผู้ส่งออก-นำเข้า) เห็นคือ มันอันตรายมากหากคุณไม่ทำ เพราะถ้าค่าเงินมูฟไปในทางที่ไม่ได้คาดคิด แล้วทุกคนลุกขึ้นมาประกันความเสี่ยงพร้อมๆ กัน ค่าเงินจะยิ่งมูฟแรง ผลกระทบก็จะยิ่งมากขึ้น ผมจึงพูดอยู่ตลอดว่า อย่าชะล่าใจ อย่าคิดว่าจะมีใครมากำหนดอัตราแลกเปลี่ยนให้"

จี้แบงก์ช่วยรายย่อยเฮดจิ้ง

นายวิรไท ยอมรับว่าการทำเฮดจิ้งสำหรับผู้ประกอบการรายเล็ก อาจมีต้นทุนที่สูง  เมื่อเทียบขนาดธุรกิจ แต่ธปท. ได้ขอความร่วมมือไปยังสมาคมธนาคารไทย รวมทั้ง ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศ ไทย(เอ็กซิมแบงก์)ช่วยดูแลทางเอ็กซิม แบงก์ หาแนวทางช่วยเหลืออยู่

"อาจมีบางคนที่อยากปิดความเสี่ยง บริหารความเสี่ยง แต่ต้นทุนเขาอาจสูง ติดปัญหาเรื่องวงเงิน หรือค่าธรรมเนียมที่แพง เราก็ขอความร่วมมือไปยังแบงก์และทางเอ็กซิมแบงก์ หาแนวทางช่วยเหลือ"

เอกชนไทยเฮดจิ้งค่าเงินน้อย

นายวิรไท กล่าวว่า การทำเฮดจิ้งของ ผู้ประกอบการไทยนั้น ต้องยอมรับว่ามีน้อยกว่า ประเทศอื่นในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย เกาหลีใต้ หรือ ไต้หวัน ส่วนหนึ่งเพราะระดับความผันผวนของค่าเงินบาทต่ำกว่า

"หลายคนชอบมองว่าเงินบาทแข็ง แต่จริงๆ แล้ว เป็นปรากฏการณ์เงินดอลลาร์อ่อน และเป็นการอ่อนค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุล ทำไมผู้ประกอบการในประเทศ คู่แข่งของเรา เขาบริหารจัดการค่าเงินได้ ซึ่งถ้าเราบริหารไม่ได้ ก็จะกลายเป็นจุดอ่อนสำหรับการแข่งขันในอนาคต แต่เราเห็นว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ ของเรา เขาทำเรื่องพวกนี้ได้ดีและต่อเนื่อง"

สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางๆ ถือว่ามีจำนวนไม่น้อยที่เริ่มมีวินัยโดยประกันความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีบางส่วนที่เลือก ทำเป็นบางช่วงเวลา กลุ่มนี้ ธปท. พยายามส่งเสริมให้เขาทำเฮดจิ้งจนกลายเป็นเรื่องปกติ

"บางคนอาจมองว่าเป็นต้นทุน  อยากบอก ตรงนี้ว่า ความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน ควรมีต้นทุนบ้าง ถือเป็นเรื่องปกติของการทำ ธุรกรรมระหว่างประเทศ "

 
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ข่าวนโยบายการเงิน-การคลัง อื่นๆ