ภาคก่อสร้างที่อยู่อาศัยซบเซาฉุดยอดจำหน่ายกระเบื้องปูพื้น-บุผนังร่วง
วันที่ : 22 ธันวาคม 2568
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) วิเคราะห์ว่าปี 2026 ปริมาณการจำหน่ายกระเบื้องปูพื้น-บุผนังในประเทศมีแนวโน้ม อยู่ที่ 189 ล้านตารางเมตร (-1.5%YOY) หดตัว ต่อเนื่องจากปี 2025 ตามการใช้งานในภาคการก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่ยังคงอ่อนแอ ขณะที่ราคามีแนวโน้มปรับตัวลดลงอยู่ที่ 149 บาท/ตารางเมตร (-1.5%YOY)
ตลาดที่อยู่อาศัยยังคงมีอุปทานหน่วยที่อยู่อาศัยเหลือขายสะสมระดับสูง ส่งผลให้การเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปี 2026 ยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง กระทบต่อความต้องการใช้งานกระเบื้องปูพื้น-บุผนังในโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ ซึ่งเป็นอุปสงค์หลักของอุตสาหกรรมกระเบื้องปูพื้น- บุผนัง ให้ปรับตัวลดลงจากปี 2025 นอกจากนี้ราคากระเบื้องโดยเฉลี่ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ 149 บาท/ตารางเมตร (-1.5%YOY) เป็นผลจากต้นทุนราคาพลังงานสำคัญที่ใช้ ในกระบวนการผลิตและขนส่งลดลง ท่ามกลางอุปสงค์ การใช้งานยังคงอ่อนแอ ทั้งนี้ยังต้องจับตาการจัดโปรโมชั่นเพื่อส่งเสริมการจำหน่ายในตลาด กระเบื้อง ที่มีการแข่งขันทั้งระหว่างผู้ผลิตกระเบื้อง ในประเทศ และกระเบื้องนำเข้าจากต่างประเทศที่มี ราคาต่ำ จะเป็นปัจจัยกดดันด้านราคาเพิ่มเติม
ในปี 2020-2025 กระเบื้องจากต่างประเทศ ถูกนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยประมาณปีละ 63 ล้านตารางเมตร เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง +3%CAGR โดยเฉพาะการนำเข้ากระเบื้องจากจีน, เวียดนาม และอินเดีย ที่มีราคาโดยเฉลี่ยต่ำกว่ากระเบื้องที่ผลิตในไทยกว่า 6-10% ส่งผลให้สัดส่วนกระเบื้องนำเข้าในตลาดจำหน่ายกระเบื้องในไทยเพิ่มขึ้นจาก 26% ในปี 2020 เป็น 34% ในปี 2025 และคาดว่าจะยังคงมีการนำเข้ากระเบื้องจาก ต่างประเทศเข้ามาใช้งานอย่างต่อเนื่องในปี 2026 หลังจากที่ผู้ผลิตและส่งออกกระเบื้องในหลายประเทศ ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ รวมถึงยังต้องจับตาการนำเข้ากระเบื้องจากอินเดียที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา เนื่องจากพื้นที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากไทยทำให้ มีความสะดวกด้านการขนส่ง อีกทั้ง ราคาสินค้าต่างจากจีนและเวียดนามไม่มาก
การพัฒนากระเบื้องที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น กระเบื้องกันเชื้อแบคทีเรีย ทนรอยขีดข่วนสำหรับสัตว์เลี้ยง กระเบื้อง Anti-slip สำหรับผู้สูงอายุ กระเบื้องที่มีลวดลายและให้ผิวสัมผัสเสมือนวัสดุจริง อย่างลายไม้ หินอ่อน และแกรนิต เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ผู้ผลิตไทยสร้างความแตกต่าง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ท่ามกลางกระเบื้องนำเข้าราคาถูก โดยกระเบื้องเกรด พรีเมียมเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในกลุ่มผู้บริโภค และ ยังคงใช้สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยระดับราคาปานกลาง- สูงขึ้นไป ซึ่งเน้นคุณภาพ การออกแบบ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ส่งผลให้ผู้ผลิตกระเบื้อง สามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคา และมีอัตรา กำไรสูงกว่าตลาดกระเบื้องทั่วไป อีกทั้ง ยังช่วย สร้างภาพลักษณ์และตำแหน่งการแข่งขันที่ชัดเจน ให้กับแบรนด์ รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตกระเบื้อง สามารถขยายสู่ตลาดต่างประเทศที่ต้องการสินค้า กลุ่มพรีเมียม นอกจากนี้ การปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิต และการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน ก็ยังช่วยให้ผู้ผลิตกระเบื้องมีอัตรากำไรที่ดีขึ้นจากต้นทุนด้านพลังงานที่ลดลงด้วยเช่นกัน
ในปี 2020-2025 กระเบื้องจากต่างประเทศ ถูกนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยประมาณปีละ 63 ล้านตารางเมตร เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง +3%CAGR โดยเฉพาะการนำเข้ากระเบื้องจากจีน, เวียดนาม และอินเดีย ที่มีราคาโดยเฉลี่ยต่ำกว่ากระเบื้องที่ผลิตในไทยกว่า 6-10% ส่งผลให้สัดส่วนกระเบื้องนำเข้าในตลาดจำหน่ายกระเบื้องในไทยเพิ่มขึ้นจาก 26% ในปี 2020 เป็น 34% ในปี 2025 และคาดว่าจะยังคงมีการนำเข้ากระเบื้องจาก ต่างประเทศเข้ามาใช้งานอย่างต่อเนื่องในปี 2026 หลังจากที่ผู้ผลิตและส่งออกกระเบื้องในหลายประเทศ ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ รวมถึงยังต้องจับตาการนำเข้ากระเบื้องจากอินเดียที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา เนื่องจากพื้นที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากไทยทำให้ มีความสะดวกด้านการขนส่ง อีกทั้ง ราคาสินค้าต่างจากจีนและเวียดนามไม่มาก
การพัฒนากระเบื้องที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น กระเบื้องกันเชื้อแบคทีเรีย ทนรอยขีดข่วนสำหรับสัตว์เลี้ยง กระเบื้อง Anti-slip สำหรับผู้สูงอายุ กระเบื้องที่มีลวดลายและให้ผิวสัมผัสเสมือนวัสดุจริง อย่างลายไม้ หินอ่อน และแกรนิต เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ผู้ผลิตไทยสร้างความแตกต่าง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ท่ามกลางกระเบื้องนำเข้าราคาถูก โดยกระเบื้องเกรด พรีเมียมเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในกลุ่มผู้บริโภค และ ยังคงใช้สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยระดับราคาปานกลาง- สูงขึ้นไป ซึ่งเน้นคุณภาพ การออกแบบ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ส่งผลให้ผู้ผลิตกระเบื้อง สามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคา และมีอัตรา กำไรสูงกว่าตลาดกระเบื้องทั่วไป อีกทั้ง ยังช่วย สร้างภาพลักษณ์และตำแหน่งการแข่งขันที่ชัดเจน ให้กับแบรนด์ รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตกระเบื้อง สามารถขยายสู่ตลาดต่างประเทศที่ต้องการสินค้า กลุ่มพรีเมียม นอกจากนี้ การปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิต และการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน ก็ยังช่วยให้ผู้ผลิตกระเบื้องมีอัตรากำไรที่ดีขึ้นจากต้นทุนด้านพลังงานที่ลดลงด้วยเช่นกัน
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ