อสังหาฯสมุยมาแรง! รับดีมานด์ต่างชาติอนาคตโตเทียบภูเก็ต
วันที่ : 6 พฤศจิกายน 2568
คอลลิเออร์สฯ ระบุว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ตลาดคอนโดมิเนียมบนเกาะสมุยมีอุปทานระหว่างการขายเพียง 3 โครงการ รวม 876 ยูนิต มูลค่ากว่า 3,661 ล้านบาท โดยมียอดขายแล้วถึง 79.79% หรือราว 699 ยูนิต เหลือขายเพียง 177 ยูนิต ขณะที่ในปี 2568 นี้ คาดว่าจะมีคอนโดมิเนียม เปิดขายใหม่เพิ่มอีกประมาณ 2-3 โครงการ รวมกว่า 276 ยูนิต ถือเป็นปีที่มีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดสูงที่สุดในรอบ 15 ปี
เกาะสมุยกลับมาร้อนแรงอีกครั้งในตลาดอสังหาฯ หลังนักลงทุนต่างชาติหลั่งไหลเข้าซื้อคอนโดและวิลล่าระดับกลาง-บน ดันอุปทานใหม่พุ่งสูงสุดในรอบ 15 ปี ขณะดีเวลอปเปอร์รายใหญ่ทยอยเข้าจับตลาด
ตลาดอสังหาริมทรัพย์เกาะสมุยกำลังกลับมาครึกครื้นอีกครั้งในรอบทศวรรษ หลังได้รับแรงหนุนจากกำลังซื้อต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มยุโรป รัสเซีย ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย จีน และอิสราเอล ที่เข้ามาซื้อทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศในทำเลทองของเกาะ ดันให้ตลาดกลับมาร้อนแรงคล้ายภาพ "ภูเก็ตปี 2022" ที่เคยบูมจากกำลังซื้อต่างชาติในช่วงหลังโควิด
ข้อมูลจากฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ระบุว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ตลาดคอนโดมิเนียมบนเกาะสมุยมีอุปทานระหว่างการขายเพียง 3 โครงการ รวม 876 ยูนิต มูลค่ากว่า 3,661 ล้านบาท โดยมียอดขายแล้วถึง 79.79% หรือราว 699 ยูนิต เหลือขายเพียง 177 ยูนิต ขณะที่ในปี 2568 นี้ คาดว่าจะมีคอนโดมิเนียม เปิดขายใหม่เพิ่มอีกประมาณ 2-3 โครงการ รวมกว่า 276 ยูนิต ถือเป็นปีที่มีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดสูงที่สุดในรอบ 15 ปี
ในด้านราคาขายคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ยังอยู่ในช่วง 60,000-80,000 บาทต่อตารางเมตร แต่มีบางโครงการที่ราคาทะลุ 200,000 บาทต่อตารางเมตร สะท้อนถึงศักยภาพและดีมานด์จริงจากกลุ่มผู้ซื้อระดับบน โดยเฉพาะต่างชาติที่เข้ามาซื้อเพื่อการลงทุนและพักผ่อนระยะยาว ซึ่งกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดในเวลานี้
นอกจากคอนโดมิเนียมแล้ว ตลาดบ้านพักตากอากาศในสมุยยังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยในครึ่งแรกของปี 2568 มีอุปทานระหว่างขายรวม 52 โครงการ 597 ยูนิต มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 14,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 63.56% จากครึ่งหลังของปีก่อน และมีโครงการใหม่เปิดขายมากถึง 18 โครงการ รวม 179 ยูนิต
พื้นที่ยอดนิยมยังคงกระจุกอยู่ในโซนหาดเฉวง บ่อผุด ละไม และแม่น้ำ ซึ่งเป็นทำเลที่สามารถมองเห็นทะเลได้ชัดและเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทำให้มียอดขายเฉลี่ยสูงถึง 67.91% ในบางทำเล โดยเฉพาะหาดเฉวงและบ่อผุด ขณะที่แม่น้ำและละไมมียอดขายอยู่ในช่วง 36-48% ตามลำดับปัจจุบัน ตลาดนี้ดึงดูดดีเวลอปเปอร์รายใหญ่ระดับประเทศเข้ามา เช่น บมจ. ศุภาลัย ที่ประกาศรุกเข้าสู่ตลาดสมุยเป็นครั้งแรก ด้วยการเปิดตัวโครงการ "เวลล่า" บ้านพักตากอากาศหรู 8 ยูนิต มูลค่า 17.59-26.59 ล้านบาทต่อยูนิต เจาะกลุ่มนักลงทุนต่างชาติและผู้ซื้อระดับบนที่มองหาบ้านพักติดชายหาดเพื่อพักผ่อนหรือปล่อยเช่า
ข้อมูลจากคอลลิเออร์สระบุว่า สัดส่วนผู้ซื้อคอนโดมิเนียมในสมุยกว่า 85-90% เป็นชาวต่างชาติ โดยมากกว่า 50% มาจากยุโรป รองลงมาคือรัสเซีย จีน ออสเตรเลีย อิสราเอล และฝรั่งเศส ขณะที่ผู้ซื้อคนไทยมีเพียง 10-15% ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือเจ้าของธุรกิจท้องถิ่น
ในส่วนของตลาดวิลล่า สัดส่วนผู้ซื้อต่างชาติเพิ่มสูงถึงกว่า 90% โดยกลุ่มออสเตรเลีย ยุโรป และอิสราเอลเป็นกลุ่มหลัก สะท้อนให้เห็นว่าเกาะสมุยกลายเป็น "ตลาดสากล" ที่ต่างชาติเลือกลงทุนมากกว่าคนไทย และส่วนใหญ่ซื้อเพื่อพักผ่อนระยะยาวหรือปล่อยเช่าในแพลตฟอร์มระดับโลก
คอลลิเออร์สยังระบุว่าในบางโครงการรูปแบบ Leasehold สามารถขายหมดภายใน 2 เดือนหลังเปิดขาย เช่น โครงการที่มี 46 ยูนิตในทำเลบ่อผุด ซึ่งสะท้อนถึงกำลังซื้อจริงและความมั่นใจในตลาดสมุยอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ แรงซื้อจากต่างชาติ ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ราคาที่ดินในหลายโซนของสมุยปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพื้นที่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ โซนตอนเหนือของเกาะ เช่น บ่อผุด แม่น้ำ และเชิงมน ซึ่งถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและมีชายหาดที่ยังคงความเป็นส่วนตัวสูง ราคาที่ดินในทำเลเหล่านี้ขยับขึ้นเฉลี่ยปีละ 5-7% และในบางแปลงที่อยู่ใกล้ชายทะเลหรือมีวิวทะเลโดยตรง ราคาขยับขึ้นถึง 10% ต่อปี ส่งผลให้ผู้พัฒนาโครงการต้องเร่งจับจองที่ดินก่อนที่ราคาจะขยับสูงขึ้นอีกระลอกในปีถัดไป
นอกจากแรงซื้อจากต่างชาติแล้ว การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและเอกชนยังเป็นอีกปัจจัยที่หนุนให้ตลาดสมุยร้อนแรง โดยเฉพาะโครงการขยายสนามบินสมุย ซึ่งอยู่ระหว่างการวางแผนเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร รวมถึงการเจรจาเปิดเส้นทางบินตรงจากยุโรปและจีนเพิ่มเติมในปีหน้า ปัจจัยเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการท่องเที่ยว แต่ยังดึงดูดกลุ่มนักลงทุนและผู้พักอาศัยระยะยาว (long-stay) ที่มองหาที่พักคุณภาพสูงและทำเลที่เดินทางสะดวก ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์สมุยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ทั้งในด้านราคาและปริมาณการพัฒนาโครงการใหม่
นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย เผยมุมมองว่า สมุยในวันนี้มีพัฒนาการคล้ายกับ "ภูเก็ตในปี 2022" ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดอสังหาฯ ฟื้นแรงหลังโควิดจากกำลังซื้อต่างชาติ โดยในช่วงเวลาเพียงปีเดียว อุปทานคอนโดและวิลล่าของสมุยเพิ่มขึ้นจาก 100 ยูนิตเป็น 500 ยูนิต ถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปี 2569-2570
และเมื่อเทียบราคาต่อตารางเมตร สมุยยังถือว่าถูกกว่าภูเก็ตกว่า 30-40% ทำให้เป็นจุดหมายใหม่ของนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนระยะยาว (yield) ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ชายทะเลไทย โดยเฉพาะในกลุ่มวิลล่าหรูระดับราคาไม่เกิน 15 ล้านบาท ซึ่งขายดีเป็นพิเศษ
การเติบโตของสมุยสะท้อนการเปลี่ยนผ่านจาก "เมืองท่องเที่ยว" สู่ "เมืองลงทุน" ที่มีโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่เกิดขึ้น ทั้งจากดีมานด์ระยะยาวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการเข้ามาของแบรนด์ดีเวลอปเปอร์รายใหญ่ ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้ตลาดโดยรวม
หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อเนื่อง สมุยมีโอกาสก้าวขึ้นเป็น "ศูนย์กลางการลงทุนอสังหาฯ ชายทะเลภาคใต้" ที่สามารถเทียบชั้นภูเก็ตได้ในไม่ช้า และอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในภูมิภาคนี้
ตลาดอสังหาริมทรัพย์เกาะสมุยกำลังกลับมาครึกครื้นอีกครั้งในรอบทศวรรษ หลังได้รับแรงหนุนจากกำลังซื้อต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มยุโรป รัสเซีย ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย จีน และอิสราเอล ที่เข้ามาซื้อทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศในทำเลทองของเกาะ ดันให้ตลาดกลับมาร้อนแรงคล้ายภาพ "ภูเก็ตปี 2022" ที่เคยบูมจากกำลังซื้อต่างชาติในช่วงหลังโควิด
ข้อมูลจากฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ระบุว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ตลาดคอนโดมิเนียมบนเกาะสมุยมีอุปทานระหว่างการขายเพียง 3 โครงการ รวม 876 ยูนิต มูลค่ากว่า 3,661 ล้านบาท โดยมียอดขายแล้วถึง 79.79% หรือราว 699 ยูนิต เหลือขายเพียง 177 ยูนิต ขณะที่ในปี 2568 นี้ คาดว่าจะมีคอนโดมิเนียม เปิดขายใหม่เพิ่มอีกประมาณ 2-3 โครงการ รวมกว่า 276 ยูนิต ถือเป็นปีที่มีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดสูงที่สุดในรอบ 15 ปี
ในด้านราคาขายคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ยังอยู่ในช่วง 60,000-80,000 บาทต่อตารางเมตร แต่มีบางโครงการที่ราคาทะลุ 200,000 บาทต่อตารางเมตร สะท้อนถึงศักยภาพและดีมานด์จริงจากกลุ่มผู้ซื้อระดับบน โดยเฉพาะต่างชาติที่เข้ามาซื้อเพื่อการลงทุนและพักผ่อนระยะยาว ซึ่งกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดในเวลานี้
นอกจากคอนโดมิเนียมแล้ว ตลาดบ้านพักตากอากาศในสมุยยังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยในครึ่งแรกของปี 2568 มีอุปทานระหว่างขายรวม 52 โครงการ 597 ยูนิต มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 14,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 63.56% จากครึ่งหลังของปีก่อน และมีโครงการใหม่เปิดขายมากถึง 18 โครงการ รวม 179 ยูนิต
พื้นที่ยอดนิยมยังคงกระจุกอยู่ในโซนหาดเฉวง บ่อผุด ละไม และแม่น้ำ ซึ่งเป็นทำเลที่สามารถมองเห็นทะเลได้ชัดและเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทำให้มียอดขายเฉลี่ยสูงถึง 67.91% ในบางทำเล โดยเฉพาะหาดเฉวงและบ่อผุด ขณะที่แม่น้ำและละไมมียอดขายอยู่ในช่วง 36-48% ตามลำดับปัจจุบัน ตลาดนี้ดึงดูดดีเวลอปเปอร์รายใหญ่ระดับประเทศเข้ามา เช่น บมจ. ศุภาลัย ที่ประกาศรุกเข้าสู่ตลาดสมุยเป็นครั้งแรก ด้วยการเปิดตัวโครงการ "เวลล่า" บ้านพักตากอากาศหรู 8 ยูนิต มูลค่า 17.59-26.59 ล้านบาทต่อยูนิต เจาะกลุ่มนักลงทุนต่างชาติและผู้ซื้อระดับบนที่มองหาบ้านพักติดชายหาดเพื่อพักผ่อนหรือปล่อยเช่า
ข้อมูลจากคอลลิเออร์สระบุว่า สัดส่วนผู้ซื้อคอนโดมิเนียมในสมุยกว่า 85-90% เป็นชาวต่างชาติ โดยมากกว่า 50% มาจากยุโรป รองลงมาคือรัสเซีย จีน ออสเตรเลีย อิสราเอล และฝรั่งเศส ขณะที่ผู้ซื้อคนไทยมีเพียง 10-15% ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือเจ้าของธุรกิจท้องถิ่น
ในส่วนของตลาดวิลล่า สัดส่วนผู้ซื้อต่างชาติเพิ่มสูงถึงกว่า 90% โดยกลุ่มออสเตรเลีย ยุโรป และอิสราเอลเป็นกลุ่มหลัก สะท้อนให้เห็นว่าเกาะสมุยกลายเป็น "ตลาดสากล" ที่ต่างชาติเลือกลงทุนมากกว่าคนไทย และส่วนใหญ่ซื้อเพื่อพักผ่อนระยะยาวหรือปล่อยเช่าในแพลตฟอร์มระดับโลก
คอลลิเออร์สยังระบุว่าในบางโครงการรูปแบบ Leasehold สามารถขายหมดภายใน 2 เดือนหลังเปิดขาย เช่น โครงการที่มี 46 ยูนิตในทำเลบ่อผุด ซึ่งสะท้อนถึงกำลังซื้อจริงและความมั่นใจในตลาดสมุยอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ แรงซื้อจากต่างชาติ ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ราคาที่ดินในหลายโซนของสมุยปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพื้นที่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ โซนตอนเหนือของเกาะ เช่น บ่อผุด แม่น้ำ และเชิงมน ซึ่งถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและมีชายหาดที่ยังคงความเป็นส่วนตัวสูง ราคาที่ดินในทำเลเหล่านี้ขยับขึ้นเฉลี่ยปีละ 5-7% และในบางแปลงที่อยู่ใกล้ชายทะเลหรือมีวิวทะเลโดยตรง ราคาขยับขึ้นถึง 10% ต่อปี ส่งผลให้ผู้พัฒนาโครงการต้องเร่งจับจองที่ดินก่อนที่ราคาจะขยับสูงขึ้นอีกระลอกในปีถัดไป
นอกจากแรงซื้อจากต่างชาติแล้ว การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและเอกชนยังเป็นอีกปัจจัยที่หนุนให้ตลาดสมุยร้อนแรง โดยเฉพาะโครงการขยายสนามบินสมุย ซึ่งอยู่ระหว่างการวางแผนเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร รวมถึงการเจรจาเปิดเส้นทางบินตรงจากยุโรปและจีนเพิ่มเติมในปีหน้า ปัจจัยเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการท่องเที่ยว แต่ยังดึงดูดกลุ่มนักลงทุนและผู้พักอาศัยระยะยาว (long-stay) ที่มองหาที่พักคุณภาพสูงและทำเลที่เดินทางสะดวก ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์สมุยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ทั้งในด้านราคาและปริมาณการพัฒนาโครงการใหม่
นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย เผยมุมมองว่า สมุยในวันนี้มีพัฒนาการคล้ายกับ "ภูเก็ตในปี 2022" ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดอสังหาฯ ฟื้นแรงหลังโควิดจากกำลังซื้อต่างชาติ โดยในช่วงเวลาเพียงปีเดียว อุปทานคอนโดและวิลล่าของสมุยเพิ่มขึ้นจาก 100 ยูนิตเป็น 500 ยูนิต ถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปี 2569-2570
และเมื่อเทียบราคาต่อตารางเมตร สมุยยังถือว่าถูกกว่าภูเก็ตกว่า 30-40% ทำให้เป็นจุดหมายใหม่ของนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนระยะยาว (yield) ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ชายทะเลไทย โดยเฉพาะในกลุ่มวิลล่าหรูระดับราคาไม่เกิน 15 ล้านบาท ซึ่งขายดีเป็นพิเศษ
การเติบโตของสมุยสะท้อนการเปลี่ยนผ่านจาก "เมืองท่องเที่ยว" สู่ "เมืองลงทุน" ที่มีโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่เกิดขึ้น ทั้งจากดีมานด์ระยะยาวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการเข้ามาของแบรนด์ดีเวลอปเปอร์รายใหญ่ ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้ตลาดโดยรวม
หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อเนื่อง สมุยมีโอกาสก้าวขึ้นเป็น "ศูนย์กลางการลงทุนอสังหาฯ ชายทะเลภาคใต้" ที่สามารถเทียบชั้นภูเก็ตได้ในไม่ช้า และอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในภูมิภาคนี้
ข่าวอสังหาริมทรัพย์ภูมิภาค อื่นๆ