SCGD เวียดนามหนุนพอร์ต รุกกลุ่มสินค้าSVAเพิ่มมูลค่า
วันที่ : 29 ตุลาคม 2568
SCGD คาดปี 2568 ผลงานสดใสกว่าปีก่อน รับดีมานด์เวียดนามพุ่ง-โปรดักต์สมาร์ทแวลูหนุน แถมลดต้นทุนได้ดี พร้อมเสิร์ฟกลุ่มสินค้า SVA ในประเทศ อัพฐานรับทรัพย์ ตอกย้ำฐานะการเงินแกร่ง
นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าท่าบริหารและกรรมการผ้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD ผ้นำในธุรกิจเซรามิก วัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัทคาดผลงานในปี 2568 เติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 ที่มีกำไรราว 809 ล้านบาท หลังช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ มีกำไรแล้วประมาณ 743.67 ล้านบาท ประกอบกับมองได้แรงหนุนจากการเข้าช่วงไฮซีซันของตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศเวียดนามในช่วง 3 เดือนสุดท้ายเข้ามาช่วยสนับสนุนความต้องการ (ดีมานด์) เพิ่มเติม รวมทั้งการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากการผลิตและขายสินค้าในต่างประเทศราว 35%, ส่วนที่เหลือมาจากการขายสินค้าให้ในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิวและก่อสร้างยังเผชิญความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันรุนแรง แต่ SCGD ยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้อย่างแข็งแกร่ง จากการบริหารจัดการต้นทุน อย่างมีประสิทธิภาพ และการมุ่งพัฒนาสินค้า HVA และกลุ่มสินค้าใหม่ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจและตอบโจทย์ ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ขณะเดียวกันยังเดินหน้าขยายศักยภาพการผลิตในต่างประเทศ โดยเฉพาะ เวียดนาม ซึ่งเป็นฐานการผลิตและส่งออก หลักของภูมิภาคอาเซียน เพื่อรองรับความ ต้องการวัสดุก่อสร้างที่ฟื้นตัวขึ้นในประเทศ รวมถึงการขยายสู่ตลาดโลกในอนาคต
รุก SVA ต่อยอดเพิ่ม
นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันระยะยาวในด้านต่างๆ ได้แก่ การยกระดับ PRIME ประเทศเวียดนามเป็นฐานผลิต-ส่งออกหลักของภูมิภาคเน้นบริหาร และควบคุมต้นทุนการผลิตกระเบื้องให้สามารถแข่งกับผู้ผลิตระดับโลกได้ และใช้ความได้เปรียบด้านต้นทุนนี้ ขยายฐาน, การเพิ่มกำลังการผลิตและดันยอด ขายกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน เพื่อตอบรับ ความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากขึ้น, การเร่งขยายพอร์ตกลุ่มสินค้าใหม่ในประเทศไทย เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตยอดขายในกลุ่ม สินค้าเกี่ยวเนื่องต่อ จากธุรกิจหลัก และสินค้าใหม่เพิ่มเติม อาทิ กลุ่มสินค้าสมาร์ทแวลู (SVA) เป็นต้น, การเจาะตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายทุกเซ็กเมนต์ ผ่านสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) โดยมีสัดส่วนการขายสินค้ากว่า 41% ต่อรายได้จากการขายเข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ รักสุขภาพ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าที่คุณภาพดี ดีไซน์สวย และฟังก์ชันที่คุ้มค่า เช่น วัสดุตกแต่งพื้นผิว กระเบื้องสุขอนามัย ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส เพื่อเสริมสร้างการเติบโตให้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังจะเพิ่มความสามารถในการทำกำไรผ่านกลยุทธ์ต่างๆ อาทิ การลดต้นทุน ด้านพลังงานผ่านการเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลและพลังงาน แสงอาทิตย์ โดยมีการเพิ่มสัดส่วนการใช้ ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ 13.6% เพิ่มขึ้น 5.5 เมกะวัตต์ จากไตรมาสก่อน ช่วยลด ต้นทุนได้ 22 ล้านบาทต่อปี, การเจรจาการลดต้นทุนวัตถุดิบได้กว่า 21 ล้านบาท รวมถึงการบริหารจัดการฐานผลิตของ SCGD ในองค์รวมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งการลดต้นทุนการบริหารจัดการด้วยการปรับลดเงินทุนหมุนเว่ยนเพิมเติม
ย้ำฐานะการเงินแกร่ง
นายสิทธิชัย สุขกิจประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าท่สายงานการเงิน บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในแง่โครงสร้างทางการเงินของบริษัทถือว่าแข็งแกร่ง โดยปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 37,064 ล้านบาท และยังคงความแข็งแกร่งทางการเงินด้วยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ในไตรมาส 3/2568 ที่ 1.3 เท่า ลดลงจากไตรมาสก่อน และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 0.2 เท่า พร้อมเติบโตในระยะยาว รวมทั้งยังมีการจัดการเงินทุนและการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ เน้นให้สอดคล้องกับ แผนการเติบโตในอนาคต
บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด แนะ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 6.00 บาท คาดกำไรสุทธิปี 2568 ไว้ระดับ 1.1 พันล้านบาท แม้ตลาดในประเทศจะอ่อนตัว แต่ได้แรงหนุนจากเวียดนามเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว ขณะที่ความต้องการในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ค่อนข้างทรงตัว
ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากการผลิตและขายสินค้าในต่างประเทศราว 35%, ส่วนที่เหลือมาจากการขายสินค้าให้ในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิวและก่อสร้างยังเผชิญความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันรุนแรง แต่ SCGD ยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้อย่างแข็งแกร่ง จากการบริหารจัดการต้นทุน อย่างมีประสิทธิภาพ และการมุ่งพัฒนาสินค้า HVA และกลุ่มสินค้าใหม่ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจและตอบโจทย์ ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ขณะเดียวกันยังเดินหน้าขยายศักยภาพการผลิตในต่างประเทศ โดยเฉพาะ เวียดนาม ซึ่งเป็นฐานการผลิตและส่งออก หลักของภูมิภาคอาเซียน เพื่อรองรับความ ต้องการวัสดุก่อสร้างที่ฟื้นตัวขึ้นในประเทศ รวมถึงการขยายสู่ตลาดโลกในอนาคต
รุก SVA ต่อยอดเพิ่ม
นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันระยะยาวในด้านต่างๆ ได้แก่ การยกระดับ PRIME ประเทศเวียดนามเป็นฐานผลิต-ส่งออกหลักของภูมิภาคเน้นบริหาร และควบคุมต้นทุนการผลิตกระเบื้องให้สามารถแข่งกับผู้ผลิตระดับโลกได้ และใช้ความได้เปรียบด้านต้นทุนนี้ ขยายฐาน, การเพิ่มกำลังการผลิตและดันยอด ขายกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน เพื่อตอบรับ ความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากขึ้น, การเร่งขยายพอร์ตกลุ่มสินค้าใหม่ในประเทศไทย เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตยอดขายในกลุ่ม สินค้าเกี่ยวเนื่องต่อ จากธุรกิจหลัก และสินค้าใหม่เพิ่มเติม อาทิ กลุ่มสินค้าสมาร์ทแวลู (SVA) เป็นต้น, การเจาะตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายทุกเซ็กเมนต์ ผ่านสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) โดยมีสัดส่วนการขายสินค้ากว่า 41% ต่อรายได้จากการขายเข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ รักสุขภาพ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าที่คุณภาพดี ดีไซน์สวย และฟังก์ชันที่คุ้มค่า เช่น วัสดุตกแต่งพื้นผิว กระเบื้องสุขอนามัย ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส เพื่อเสริมสร้างการเติบโตให้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังจะเพิ่มความสามารถในการทำกำไรผ่านกลยุทธ์ต่างๆ อาทิ การลดต้นทุน ด้านพลังงานผ่านการเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลและพลังงาน แสงอาทิตย์ โดยมีการเพิ่มสัดส่วนการใช้ ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ 13.6% เพิ่มขึ้น 5.5 เมกะวัตต์ จากไตรมาสก่อน ช่วยลด ต้นทุนได้ 22 ล้านบาทต่อปี, การเจรจาการลดต้นทุนวัตถุดิบได้กว่า 21 ล้านบาท รวมถึงการบริหารจัดการฐานผลิตของ SCGD ในองค์รวมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งการลดต้นทุนการบริหารจัดการด้วยการปรับลดเงินทุนหมุนเว่ยนเพิมเติม
ย้ำฐานะการเงินแกร่ง
นายสิทธิชัย สุขกิจประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าท่สายงานการเงิน บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในแง่โครงสร้างทางการเงินของบริษัทถือว่าแข็งแกร่ง โดยปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 37,064 ล้านบาท และยังคงความแข็งแกร่งทางการเงินด้วยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ในไตรมาส 3/2568 ที่ 1.3 เท่า ลดลงจากไตรมาสก่อน และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 0.2 เท่า พร้อมเติบโตในระยะยาว รวมทั้งยังมีการจัดการเงินทุนและการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ เน้นให้สอดคล้องกับ แผนการเติบโตในอนาคต
บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด แนะ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 6.00 บาท คาดกำไรสุทธิปี 2568 ไว้ระดับ 1.1 พันล้านบาท แม้ตลาดในประเทศจะอ่อนตัว แต่ได้แรงหนุนจากเวียดนามเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว ขณะที่ความต้องการในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ค่อนข้างทรงตัว
ข่าววัสดุก่อสร้าง-เฟอร์นิเจอร์ อื่นๆ