อสังหาฯดิ่ง! เอกชนขอแรงส่ง มาตรการรัฐพยุงถึงปี 69         
Loading

อสังหาฯดิ่ง! เอกชนขอแรงส่ง มาตรการรัฐพยุงถึงปี 69         

วันที่ : 1 ตุลาคม 2568
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ระบุว่า ครึ่งแรกของปี 2568 ยอดขายใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลหายไปถึง 22,032 หน่วย ขณะที่ยอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งปีคาดว่าจะอยู่ราว 343,678 หน่วย มูลค่ารวม 964,027 ล้านบาท ขณะเดียวกัน การเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงเหลือเพียง 52,000 หน่วย มูลค่า 390,000 ล้านบาท สะท้อนความระมัดระวังของผู้ประกอบการ
   
     "อสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568 ยังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ยอดขายและการโอนหดตัวต่อเนื่อง ภาคเอกชนรวมตัวผลักดันมาตรการเร่งด่วนถึงรัฐบาล หวังฟื้นความเชื่อมั่นเป็นแรงส่งถึงปี 2569"

     ท่ามกลางบรรยากาศเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังไม่แน่นอน ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 ยังต้องเผชิญแรงสั่นสะเทือนรอบด้าน ทั้งอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนกำลัง การเข้าถึงสินเชื่อที่ยังเข้มงวด รวมถึงหนี้ครัวเรือนระดับสูงที่ยังไม่ลดลงติดต่อกันกว่า 3 ปี ส่งผลให้ตลาดโดยรวมมีแนวโน้มติดลบ 5-15% โดยเฉพาะกลุ่มอาคารชุดที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ขณะที่ตลาดบ้านจัดสรรยังคงพอประคองตัวได้

    ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ระบุว่า ครึ่งแรกของปี 2568 ยอดขายใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลหายไปถึง 22,032 หน่วย ขณะที่ยอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งปีคาดว่าจะอยู่ราว 343,678 หน่วย มูลค่ารวม 964,027 ล้านบาท ขณะเดียวกัน การเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงเหลือเพียง 52,000 หน่วย มูลค่า 390,000 ล้านบาท สะท้อนความระมัดระวังของผู้ประกอบการ ส่วนยอดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยทั้งปีคาดว่าจะปล่อยเพียง 582,800 ล้านบาท ซึ่งยังต่ำกว่าช่วง 2 ปีก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ

    ในเวทีประชุมสัมมนาวิชาการประจำปี 2568 ครั้งที่ 3 จัดโดยสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรภายใต้หัวข้อ "วิเคราะห์ พลิกฟื้น จุดเปลี่ยนตลาดอสังหาริมทรัพย์" นายอธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ชี้ว่า ธุรกิจยังเต็มไปด้วยความกังวล ทั้งการระบายสต๊อกที่คงค้าง และการรักษาสภาพคล่องเพื่อไม่ให้ต้นทุนถ่วงหนักจนเกินไป แม้จะเริ่มเห็นสัญญาณบวกจากกำลังซื้อชาวต่างชาติ โดยเฉพาะเมียนมาและไต้หวัน แต่เม็ดเงินดังกล่าวยังไม่เพียงพอชดเชยการหดตัวในประเทศ อีกทั้งเงินบาทแข็งค่าเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนเพิ่มเติม ภาพรวมจึงยังถูกแรงกดดันรอบด้าน

    นายอธิปยังได้ เน้นย้ำว่า ผู้ประกอบการต้องไม่ประมาท เพราะอสังหาฯ เป็นธุรกิจที่ต้นทุนสูง หากปล่อยสต็อกสะสมมากเกินไป จะกลายเป็นภาระหนัก เร่งระบายของถือเป็นทางรอดสำคัญ

    ทั้งนี้ ภาคเอกชนได้รวมตัวกันผ่านสภาหอการค้าไทย เสนอมาตรการให้รัฐบาลใช้เป็นเครื่องมือบรรเทาผลกระทบและประคองตลาด อาทิ การต่ออายุมาตรการ LTV, ลดค่าธรรมเนียมโอนจำนอง, การค้ำประกันสินเชื่อผ่านบสย. รวมถึงการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 50-90% สำหรับบ้านหลังแรก และมาตรการอื่น ๆ ในระยะยาว

    นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ได้มีการพิจารณาระหว่างสามสมาคมอสังหาริมทรัพย์และสภาหอการค้าไทย โดยคำนึงถึงระยะเวลาในการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ จึงได้คัดเลือก 4 มาตรการเร่งด่วน ที่เล็งเห็นว่าเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ทันที เพื่อมาเสนอคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน โดยมองว่าจะเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้ตลาดได้ขับเคลื่อนต่อในปี 2569 ได้แก่

    1) ขยายสิทธิ์ลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% ให้ครอบคลุมทุกยูนิต โดยส่วนเกิน 7 ล้านบาทแรกให้ผู้บริโภคจ่ายเต็มอัตราตามปกติ

    2) ขยายบทบาทของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ในการค้ำประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์ เช่น อาคารพาณิชย์, Home Office, หรือที่อยู่อาศัยที่ใช้ประกอบพาณิชยกรรมขนาดย่อม และสำหรับกลุ่มอาชีพอิสระ เช่น ค้าขายออนไลน์, YouTuber, หรือผู้ที่ตกเกณฑ์ธนาคารพาณิชย์เนื่องจากรายได้เข้าไม่สม่ำเสมอ รวมถึงกรณีอื่น ๆ เช่น พึ่งเปลี่ยนงาน หรือพึ่งปิดหนี้ เพื่อแก้ปัญหารีเจกต์เรตสูงกว่า 40% โดยเสนอให้ค้ำประกันเพียง 20% แรก ของวงเงินกู้ เป็นระยะเวลาประมาณ 5 ปีแรก

    3) สนับสนุนธนาคารพาณิชย์ให้ใช้ดอกเบี้ยแบบ Risk-Based Pricing ตามความเสี่ยงผู้กู้ เพื่อเพิ่มโอกาสให้คนที่มีเครดิตไม่ตรงเกณฑ์ได้รับสินเชื่อ หากผู้กู้มีเครดิตดี มีรายได้สม่ำเสมอ อาจได้ดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราพื้นฐาน

    4) ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลงครึ่งหนึ่ง เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1-2 ปีโดยครอบคลุมทั้งที่อยู่อาศัย พาณิชยกรรม และอุตสาหกรรม เพื่อบรรเทาภาระทั้งผู้ประกอบการและผู้ซื้อ

    "ทั้งนี้ โจทย์ใหญ่ที่สุดคือทำอย่างไรให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อรายย่อยได้จริง หากสินเชื่อไม่ขยายตัว ตลาดก็ไม่สามารถฟื้นตัวได้" นายสุนทรกล่าวย้ำ

    อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งข้อกังวลของการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลงครึ่งหนึ่งอาจเกิดผลกระทบต่อรายได้ของท้องถิ่น เช่น เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล นายสุนทรจึงได้เสนอแนวทางให้รัฐบาลพิจารณาเก็บ ภาษีลาภลอย (Windfall Tax) ในอัตราสูงกว่า 30% จากการขายที่ดินที่ได้กำไรเพิ่มขึ้นจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ เช่น สาธารณูปโภค และการคมนาคมต่างๆ เพื่อนำรายได้มาเสริมท้องถิ่นไม่เสียสมดุลการคลังและลดความเหลื่อมล้ำ

    นอกจากมาตรการเร่งด่วนที่ต้องทำทันที นายสุนทร ย้ำว่าภาคเอกชนยังจัดทำข้อเสนอเชิงโครงสร้างที่เป็น "การบ้านระยะยาว" เพื่อฟื้นฟูตลาดและสร้างเสถียรภาพอย่างยั่งยืน มาตรการเหล่านี้แม้จะใช้เวลา แต่ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการนำตลาดกลับสู่สมดุล

    โดยหนึ่งในมาตรการระยะยาวคือ เสนอให้ภาครัฐต่ออายุมาตรการผ่อนคลาย LTV (Loan-to-Value) ที่จะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายน 2569 เนื่องจากหากยกเลิกไปจะกระทบโดยตรงต่อกลุ่มผู้ซื้อบ้านและคอนโดมิเนียมหลังที่ 2-3 ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสำคัญ การคงมาตรการไว้อีกอย่างน้อย 1-2 ปีจึงถือเป็นการรักษาความต่อเนื่องของตลาด ขณะเดียวกันยังมีการขอให้หยิบยกมาตรการ "บ้านดีมีดาวน์" กลับมาพิจารณาใหม่ หลังจากเคยช่วยลดภาระเงินดาวน์ได้จริงในอดีต โดยมองว่าการรื้อฟื้นอาจกลายเป็น "ยาแรง" ที่กระตุ้นกำลังซื้อของผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง แต่จะต้องใช้เวลาแก้ไขระเบียบและจัดหางบประมาณเพิ่มเติม

    ขณะเดียวกันก็ได้เสนอให้ขยายวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ที่ปัจจุบัน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ทำหน้าที่ปล่อยกู้ในอัตราราว 2.73% ช่วง 3 ปีแรก แต่ด้วยวงเงิน 250,000 ล้านบาท แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการสินเชื่อที่สูงถึง 600,000-800,000 ล้านบาท จึงอยากให้ธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐอื่นเข้ามาร่วมวงเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อได้กว้างขวางขึ้น ในส่วนของตลาดต่างชาติ ยังมีข้อเสนอในการดึงกำลังซื้อเข้าสู่ประเทศ ผ่านสิทธิพิเศษ เช่น วีซ่าระยะยาว 10 ปี หรือสิทธิการเช่าที่ดิน 30+30 ปี เพื่อจูงใจผู้มีฐานะสูงเข้ามาลงทุนควบคู่กับการควบคุมและจัดเก็บภาษีการโอนและค่าจดสิทธิการเช่าในอัตราที่สูงกว่าคนไทย เพื่อเพิ่มรายได้ให้รัฐ

    ส่วนมาตรการที่เกี่ยวกับโครงสร้างตลาดในประเทศ มองว่าควรปรับลดขนาดที่ดินขั้นต่ำในการจัดสรรโครงการให้เหมาะสมกับพฤติกรรมครอบครัวขนาดเล็กยุคใหม่ เช่น บ้านเดี่ยวจาก 50 ตารางวาลงเหลือ 40 ตารางวา และทาวน์เฮ้าส์จาก 16 ตารางวาลงเหลือ 14 ตารางวา เพื่อให้ผู้พัฒนาโครงการสามารถสร้างบ้านในราคาที่จับต้องได้มากขึ้น

    อีกทั้ง นายสุนทรยังเสนอให้ธนาคารพัฒนาระบบ Pre-Approved Mortgage หรือสินเชื่ออนุมัติล่วงหน้า โดยตรวจสอบคุณสมบัติผู้กู้ตั้งแต่ช่วงผ่อนดาวน์ 12-24 เดือน โดนสามารถใช้บัญชี Escrow Account เป็นตัวกลางเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ทั้งผู้ซื้อและผู้ประกอบการ ลดความเสี่ยงการปฏิเสธสินเชื่อในช่วงโอนกรรมสิทธิ์

    ท้ายที่สุดแล้ว การขับเคลื่อนตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 ยังต้องพึ่งพา "สองแรงขับเคลื่อนคู่ขนาน" คือ การสนับสนุนจากภาครัฐและสถาบันการเงิน และการปรับตัวของผู้ประกอบการเอง หากทำได้ทั้งสองด้านพร้อมกัน ย่อมช่วยลดแรงกดดันในตลาด และสร้างกลไกถาวรให้ธุรกิจอสังหาฯ ขยับเข้าสู่ความสมดุลใหม่ให้ยั่งยืนต่อตลาดอสังหาฯไทยต่อไปในอนาคต

 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ