นายประวิทย์ อนุศิริ นายกสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดมีบ้านว่างอยู่ประมาณ 1.4 ล้านหลัง เป็นบ้านมือหนึ่งประมาณ 4 แสนยูนิต บ้านมือสอง 8-9 แสนยูนิต คิดเป็นมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งสถานการณ์การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์รอบ 8 เดือนของปี 2568 ทรัพย์มือสองยังเติบโตมากกว่ามือหนึ่ง โดยเฉพาะที่อยู่อาศัย โรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม สำหรับทำเลขายดีอยู่กรุงเทพฯ แนวรถไฟฟ้าชานเมือง เช่น สายสีแดง สีชมพู สีเหลือง สีม่วง รวมถึงสมุทรปราการ ชลบุรี เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และภูเก็ต ส่วนใหญ่เป็นทาวน์เฮาส์ในเมืองราคาไม่เกิน 2 ล้านบาทที่ขายดี ขณะที่คอนโดไม่ค่อยหวือหวา

   นายประวิทย์กล่าวว่า ปัจจัยสนับสนุนบ้าน มือสองซื้อขายได้คล่องกว่ามือหนึ่ง คือมาตรการลดค่าโอนและจำนองเหลือ 0.01% สำหรับการซื้อที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ถึงเดือนมิถุนายน 2569 ประกอบกับอยู่ในทำเลสะดวก สามารถ ต่อรองราคาได้ ไม่มีเงินดาวน์ และธนาคารปล่อยกู้ ง่ายกว่าบ้านใหม่ เนื่องจากเป็นทรัพย์ลูกค้าธนาคารอยู่แล้ว ทำให้ได้รับความสนใจจากลูกค้ามากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป หันซื้อโครงการแนวราบมากขึ้นและนิยมเช่ามากกว่าซื้อ ทำให้มีกลุ่มนักลงทุนรายย่อยซื้อบ้านมือสองไปรีโนเวตขายหรือปล่อยเช่าสร้างรายได้กันมากในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนายหน้า กลุ่มคนชั้นกลาง และพนักงานประจำที่ทำเป็นอาชีพเสริม จึงทำให้ตลาดบ้านมือสองเติบโต โดยคาดว่าปีนี้จะเติบโต 30% และคาดว่าในปี 2569 ยังคงเติบโต สะท้อนจากมีผู้มาสมัครเป็นสมาชิกของสมาคมมากขึ้น ด้านเทรนด์การขายต่อไปจะเป็นการขายในรูปแบบแบบประมูลมากขึ้น

   "นายหน้าเองก็ต้องปรับตัว เพราะตลาดแข่งขันค่อนข้างสูงและทรัพย์ที่ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบันใช้เวลาขายนานขึ้น เช่น เดิมเคยขายได้ภายในระยะเวลา 30-60 วัน จะเป็น 120-180 วัน เป็นต้น อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับทำเลและราคาของทรัพย์ด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไรมองว่าตลาดบ้านมือสองยังเป็นขาขึ้น และถ้าหากรัฐบาลมีการขยายลดค่าโอนและจำนอง 0.01% เป็นบ้านราคามากกว่า 7 ล้านบาทได้ก็จะเป็นการดี" นายประวิทย์กล่าว