อสังหาฯ เปิดเกมรุก...ครึ่งปีหลัง ลุยโครงการใหม่ฝ่าวิกฤต
วันที่ : 18 มิถุนายน 2568
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ วางแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่และกลุ่มระดับบนในทำเลหัวเมืองใหญ่และพื้นที่ EEC อีกทั้ง ชูจุดแข็งด้านการออกแบบและการวางตำแหน่งสินค้าในกลุ่ม upper market เพื่อเจาะกลุ่ม Gen Y และกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงในระยะยาว
"แม้ตลาดอสังหาฯ ครึ่งแรกของปี 2568 จะเผชิญปัจจัยรุมเร้า ทั้งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อหดหาย เหตุภัยพิบัติ อย่างแผ่นดินไหว แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ ยังเดินหน้าลุยเปิดโครงการใหม่ฝามรสุมอสังหาฯ"
ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 เผชิญความเปราะบางอย่างหนักจากภาวะทั้งเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว การส่งออกชะลอ การท่องเที่ยวโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีนที่หดตัวลงถึง 32.7% และเหตุแผ่นดินไหว รวมถึงแรงกดดันจากนโยบายการเงินในประเทศที่ยังไม่เอื้อต่อการกระตุ้นกำลังซื้อ โดยเฉพาะการเข้มงวดของธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ทำให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์อสังหาฯ ในหลายพื้นที่ปรับลดลงต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดกลับไม่หยุดนิ่ง เร่งวางกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อกระตุ้นตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเน้นการเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลศักยภาพและขยายไปยังเมืองรองและพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) เพื่อกระจายความเสี่ยงและเจาะกลุ่มกำลังซื้อที่ยังมีศักยภาพ
บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 25 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 27,440 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับกลางอย่าง Aspire อิสรภาพ-สเตชั่น และโครงการไฮไลต์ LIFE พระราม 4-อโศก ซึ่งมีมูลค่าโอนสูงถึง 6,500 ล้านบาท พร้อมขยายตลาดไปยังเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยา บางแสน เชียงใหม่ และภูเก็ต เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติและผู้มีกำลังซื้อสูงในหัวเมืองใหญ่
รวมถึงใช้กลยุทธ์พัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ที่ชัดเจนเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละเซ็กเมนต์ โดยเฉพาะการใช้ดีไซน์แบบ Empathy Design ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์และพื้นที่ใช้สอยของผู้อยู่อาศัยจริง ทั้งยังมีจุดแข็งด้านฐานะทางการเงินที่มั่นคง ซึ่งช่วยให้สามารถขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง แม้ภาวะตลาดจะยังอ่อนแรงค่ายแสนสิริ เตรียมเปิดตามเป้าหมายในปีนี้คือ 29 โครงการ มูลค่ารวมราว 52,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นแนวราบ 14 โครงการ และคอนโดมิเนียม 15 โครงการ คาดว่าการเปิดตัวดังกล่าวจะช่วยผลักดันรายได้ให้เข้าเป้าหมายในปีนี้ที่ 53,000 ล้านบาท
ทั้งนี้เน้นพัฒนาในทำเลศักยภาพสูง ทั้งในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยาและภูเก็ต พร้อมปรับพอร์ตสินค้าให้สัดส่วนโครงการระดับพรีเมียมเพิ่มขึ้นเป็น 57% จากเดิมที่อยู่ราว 35% เพื่อตอบรับกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อจริง
ศุภาลัย ไม่น้อยหน้า ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการแนวราบและแนวสูงทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยปีนี้เตรียมเปิดตัวถึง 42 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 50,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 36,000 ล้านบาท พร้อมใช้กลยุทธ์ใหม่ "Private Tour" เจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะแบบไม่เปิดทั่วไป โดยเน้นกลุ่มบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมราคาตั้งแต่ 3-7 ล้านบาท
อีกทั้งยีงมีกลยุทธ์สำคัญอยู่ที่การกระจายทำเลไปยังต่างจังหวัดมากกว่า 30 จังหวัดทั่วประเทศ เช่น สุพรรณบุรี ลพบุรี สมุย และหัวหิน เพื่อเข้าถึงตลาดจริงในระดับภูมิภาคที่ยังมีความต้องการซื้ออยู่อาศัย ทั้งยังเดินหน้าลงทุนในต่างประเทศผ่าน Supalai Australia Holdings เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างรายได้ประจำจากตลาดอสังหาฯ ต่างประเทศในระยะยาว นอกจากนี้ ยังปรับแผนคอนโดมิเนียมให้กลับมาเป็นหนึ่งในเรือธงหลัก โดยคาดว่าจะมียอดขายเติบโตจากปีก่อนกว่า 13%
ขณะที่ บริทาเนีย ยังคงเป็นหนึ่งในผู้เล่นกลุ่มแนวราบ ยังโฟกัสที่การเติบโตในโซนกรุงเทพฯ ได้ประกาศเปิดตัว 16 โครงการแนวราบใหม่ มูลค่ารวม 17,500 ล้านบาท เจาะทำเลฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ เช่น ราชพฤกษ์ บางบัวทอง และพุทธมณฑล โดยมองว่าโซนตะวันตกยังมีศักยภาพเติบโตจากระบบโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
เช่นเดียวกับ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ วางแผนเปิด 5-6 โครงการแนวราบ มูลค่ารวม 3,600 ล้านบาทในครึ่งปีหลัง โดยเน้นจับกลุ่มระดับกลางในพื้นที่ปริมณฑล พร้อมขยายการเข้าถึงด้วยราคาที่จับต้องได้และทำเลที่แข็งแกร่งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล เพื่อรักษาการเติบโตท่ามกลางการแข่งขันสูง
สำหรับ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ วางแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่และกลุ่มระดับบนในทำเลหัวเมืองใหญ่และพื้นที่ EEC อีกทั้ง ชูจุดแข็งด้านการออกแบบและการวางตำแหน่งสินค้าในกลุ่ม upper market เพื่อเจาะกลุ่ม Gen Y และกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงในระยะยาว
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ได้ปักธงตลาดลักชัวรี โดยเตรียมเปิดโครงการ "Perfect Masterpiece พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา" บ้านเดี่ยวราคาเริ่มต้น 80 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยระดับสูงใกล้โรงเรียนนานาชาติ ซึ่งเป็นตลาดพรีเมียมที่ยังคงมีดีมานด์อย่างต่อเนื่อง
ในภาพรวมแล้วผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ต่างเร่งปรับแผนรับมือวิกฤตผ่านกลยุทธ์หลัก ได้แก่ การเร่งระบายสต็อกโครงการพร้อมอยู่ การปรับโครงสร้างสินค้าด้วยบ้านแนวราบและลักชัวรี ทำเลใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น เมืองท่องเที่ยวและ EEC และการควบคุมต้นทุนด้วยการลดการเปิดโครงการใหม่ที่มีความเสี่ยงสูง
ทางด้านค่าย เสนา แผนการดำเนินงานปี 2568 พัฒนาโครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 11 โครงการมูลค่า 10,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 1 โครงการมูลค่า 3,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นโครงการที่เลื่อนตัมาจากปี 2567 ประมาณ 3โครงการ ส่วนใหญ่จะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 2 และ 3 และยังคงเน้นตลาด Affordable Segment ระดับราคา 1-3 ล้านบาทเป็นหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มที่กลุ่มเสนาฯครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดถึง 20% หรือมากกว่า 20,000 ยูนิต โดยเฉพาะแบรนด์คอนโดฯ Cozi ระดับราคา 1.5-2.5 ล้านบาท ที่จะเปิดตัวในปีนี้มากถึ 6 โครงการ โดยตั้งเป้ายอดขาย ไว้ที่15,500 ล้านบาท และยอดโอน 10,000 ล้านบาท ซึ่งได้รวมสัดส่วนรายได้จากโครงการ LivNex เช่าออมบ้านไว้ด้วย
แม้สถานการณ์ตลาดในปี 2568 จะยังเต็มไปด้วยความท้าทายจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้น ผู้ประกอบการอสังหาฯ ส่วนใหญ่กลับยังไม่ปรับลดแผนการลงทุนหรือเปิดตัวโครงการใหม่ลง ทั้งยังคงยึดเป้าหมายรายได้และยอดขายไว้ในระดับเดิม สะท้อนถึงความเชื่อมั่นระยะยาวต่อแนวโน้มของตลาดที่จะสามารถประคับประคองตัวให้ผ่านพ้นปี 2568 ได้อย่างมีเสถียรภาพ และพร้อมปูทางสู่การฟื้นตัวในปี 2569 โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจกลับเข้าสู่จังหวะขาขึ้น
ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 เผชิญความเปราะบางอย่างหนักจากภาวะทั้งเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว การส่งออกชะลอ การท่องเที่ยวโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีนที่หดตัวลงถึง 32.7% และเหตุแผ่นดินไหว รวมถึงแรงกดดันจากนโยบายการเงินในประเทศที่ยังไม่เอื้อต่อการกระตุ้นกำลังซื้อ โดยเฉพาะการเข้มงวดของธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ทำให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์อสังหาฯ ในหลายพื้นที่ปรับลดลงต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดกลับไม่หยุดนิ่ง เร่งวางกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อกระตุ้นตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเน้นการเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลศักยภาพและขยายไปยังเมืองรองและพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) เพื่อกระจายความเสี่ยงและเจาะกลุ่มกำลังซื้อที่ยังมีศักยภาพ
บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 25 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 27,440 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับกลางอย่าง Aspire อิสรภาพ-สเตชั่น และโครงการไฮไลต์ LIFE พระราม 4-อโศก ซึ่งมีมูลค่าโอนสูงถึง 6,500 ล้านบาท พร้อมขยายตลาดไปยังเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยา บางแสน เชียงใหม่ และภูเก็ต เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติและผู้มีกำลังซื้อสูงในหัวเมืองใหญ่
รวมถึงใช้กลยุทธ์พัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ที่ชัดเจนเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละเซ็กเมนต์ โดยเฉพาะการใช้ดีไซน์แบบ Empathy Design ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์และพื้นที่ใช้สอยของผู้อยู่อาศัยจริง ทั้งยังมีจุดแข็งด้านฐานะทางการเงินที่มั่นคง ซึ่งช่วยให้สามารถขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง แม้ภาวะตลาดจะยังอ่อนแรงค่ายแสนสิริ เตรียมเปิดตามเป้าหมายในปีนี้คือ 29 โครงการ มูลค่ารวมราว 52,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นแนวราบ 14 โครงการ และคอนโดมิเนียม 15 โครงการ คาดว่าการเปิดตัวดังกล่าวจะช่วยผลักดันรายได้ให้เข้าเป้าหมายในปีนี้ที่ 53,000 ล้านบาท
ทั้งนี้เน้นพัฒนาในทำเลศักยภาพสูง ทั้งในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยาและภูเก็ต พร้อมปรับพอร์ตสินค้าให้สัดส่วนโครงการระดับพรีเมียมเพิ่มขึ้นเป็น 57% จากเดิมที่อยู่ราว 35% เพื่อตอบรับกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อจริง
ศุภาลัย ไม่น้อยหน้า ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการแนวราบและแนวสูงทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยปีนี้เตรียมเปิดตัวถึง 42 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 50,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 36,000 ล้านบาท พร้อมใช้กลยุทธ์ใหม่ "Private Tour" เจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะแบบไม่เปิดทั่วไป โดยเน้นกลุ่มบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมราคาตั้งแต่ 3-7 ล้านบาท
อีกทั้งยีงมีกลยุทธ์สำคัญอยู่ที่การกระจายทำเลไปยังต่างจังหวัดมากกว่า 30 จังหวัดทั่วประเทศ เช่น สุพรรณบุรี ลพบุรี สมุย และหัวหิน เพื่อเข้าถึงตลาดจริงในระดับภูมิภาคที่ยังมีความต้องการซื้ออยู่อาศัย ทั้งยังเดินหน้าลงทุนในต่างประเทศผ่าน Supalai Australia Holdings เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างรายได้ประจำจากตลาดอสังหาฯ ต่างประเทศในระยะยาว นอกจากนี้ ยังปรับแผนคอนโดมิเนียมให้กลับมาเป็นหนึ่งในเรือธงหลัก โดยคาดว่าจะมียอดขายเติบโตจากปีก่อนกว่า 13%
ขณะที่ บริทาเนีย ยังคงเป็นหนึ่งในผู้เล่นกลุ่มแนวราบ ยังโฟกัสที่การเติบโตในโซนกรุงเทพฯ ได้ประกาศเปิดตัว 16 โครงการแนวราบใหม่ มูลค่ารวม 17,500 ล้านบาท เจาะทำเลฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ เช่น ราชพฤกษ์ บางบัวทอง และพุทธมณฑล โดยมองว่าโซนตะวันตกยังมีศักยภาพเติบโตจากระบบโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
เช่นเดียวกับ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ วางแผนเปิด 5-6 โครงการแนวราบ มูลค่ารวม 3,600 ล้านบาทในครึ่งปีหลัง โดยเน้นจับกลุ่มระดับกลางในพื้นที่ปริมณฑล พร้อมขยายการเข้าถึงด้วยราคาที่จับต้องได้และทำเลที่แข็งแกร่งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล เพื่อรักษาการเติบโตท่ามกลางการแข่งขันสูง
สำหรับ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ วางแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่และกลุ่มระดับบนในทำเลหัวเมืองใหญ่และพื้นที่ EEC อีกทั้ง ชูจุดแข็งด้านการออกแบบและการวางตำแหน่งสินค้าในกลุ่ม upper market เพื่อเจาะกลุ่ม Gen Y และกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงในระยะยาว
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ได้ปักธงตลาดลักชัวรี โดยเตรียมเปิดโครงการ "Perfect Masterpiece พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา" บ้านเดี่ยวราคาเริ่มต้น 80 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยระดับสูงใกล้โรงเรียนนานาชาติ ซึ่งเป็นตลาดพรีเมียมที่ยังคงมีดีมานด์อย่างต่อเนื่อง
ในภาพรวมแล้วผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ต่างเร่งปรับแผนรับมือวิกฤตผ่านกลยุทธ์หลัก ได้แก่ การเร่งระบายสต็อกโครงการพร้อมอยู่ การปรับโครงสร้างสินค้าด้วยบ้านแนวราบและลักชัวรี ทำเลใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น เมืองท่องเที่ยวและ EEC และการควบคุมต้นทุนด้วยการลดการเปิดโครงการใหม่ที่มีความเสี่ยงสูง
ทางด้านค่าย เสนา แผนการดำเนินงานปี 2568 พัฒนาโครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 11 โครงการมูลค่า 10,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 1 โครงการมูลค่า 3,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นโครงการที่เลื่อนตัมาจากปี 2567 ประมาณ 3โครงการ ส่วนใหญ่จะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 2 และ 3 และยังคงเน้นตลาด Affordable Segment ระดับราคา 1-3 ล้านบาทเป็นหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มที่กลุ่มเสนาฯครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดถึง 20% หรือมากกว่า 20,000 ยูนิต โดยเฉพาะแบรนด์คอนโดฯ Cozi ระดับราคา 1.5-2.5 ล้านบาท ที่จะเปิดตัวในปีนี้มากถึ 6 โครงการ โดยตั้งเป้ายอดขาย ไว้ที่15,500 ล้านบาท และยอดโอน 10,000 ล้านบาท ซึ่งได้รวมสัดส่วนรายได้จากโครงการ LivNex เช่าออมบ้านไว้ด้วย
แม้สถานการณ์ตลาดในปี 2568 จะยังเต็มไปด้วยความท้าทายจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้น ผู้ประกอบการอสังหาฯ ส่วนใหญ่กลับยังไม่ปรับลดแผนการลงทุนหรือเปิดตัวโครงการใหม่ลง ทั้งยังคงยึดเป้าหมายรายได้และยอดขายไว้ในระดับเดิม สะท้อนถึงความเชื่อมั่นระยะยาวต่อแนวโน้มของตลาดที่จะสามารถประคับประคองตัวให้ผ่านพ้นปี 2568 ได้อย่างมีเสถียรภาพ และพร้อมปูทางสู่การฟื้นตัวในปี 2569 โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจกลับเข้าสู่จังหวะขาขึ้น
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ