บิ๊กธุรกิจนิยาม 'เศรษฐกิจปี68' เผชิญพายุทราย-ถดถอย-เหนื่อยยาว
Loading

บิ๊กธุรกิจนิยาม 'เศรษฐกิจปี68' เผชิญพายุทราย-ถดถอย-เหนื่อยยาว

วันที่ : 6 มิถุนายน 2568
สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ให้นิยามเศรษฐกิจไทยปี 2568 เหมือนอยู่บนพื้นที่โล่งแล้วเจอ "พายุทราย" มองไปข้างหน้าก็ไม่เห็นอะไร คนตัวเล็กที่ไม่แข็งแรงจะถูกพายุหอบไป คนตัวใหญ่ยังอยู่ แต่ก็เดินไปไหนไม่ได้ ต้องหลบภัย อยู่นิ่งๆ แต่ก็ต้องเอาตัวรอดให้ได้
   แม้จะผ่านมาครึ่งปีแล้ว แต่ดูเหมือน "เศรษฐกิจไทย 2568" ยังเผชิญแรงกดดันถาโถมไม่หยุด จากวิกฤตโควิด แผ่นดินไหว ภาษีทรัมป์ ล่าสุดสถานการณ์คุกรุ่นชายแดนไทยกับกัมพูชา

   แล้วอีก 6 เดือนที่เหลือจะเป็นอย่างไร "ภาคธุรกิจ" ต่างสะท้อนไปในทิศทางเดียวกัน ยังมองไม่เห็นปัจจัยบวก ต้องมีมาตรการ "ควิกวิน" มาพยุงสถานการณ์ เฉพาะหน้า

   เสี่ยบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์บิ๊กคอร์ปสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ของประเทศไทย เมื่อปี 2567 เปรียบเศรษฐกิจไทยเป็น "รถอีวี" ตอนสตาร์ตเร็ว แต่เมื่อขับไปแล้วสู้น้ำมันไม่ได้ ส่วนปี 2568 มองว่าเศรษฐกิจอยู่ในภาวะถดถอย เปรียบเหมือน "รถยนต์ 3 ล้อ" แต่ถ้าพัฒนาเป็นรถอีวีเศรษฐกิจก็จะดี พร้อมประเมินว่ามาตรการ "แจกเงิน" ไม่ได้เป็น "ตัวสร้าง เศรษฐกิจ" แต่เป็นการหาเสียงมากกว่า

   "เศรษฐกิจปีนี้ภาคธุรกิจเผชิญความยากลำบากกว่า ปีที่แล้วและยิ่งกว่าโควิด ในแต่ละยุคเหตุการณ์ไม่เหมือนกัน บางยุคเศรษฐกิจไม่ดี กลับมีโอกาสถ้ารู้จักปรับตัว ยุคนี้ เศรษฐกิจไม่ดี ถ้ารู้จักปรับตัวก็จะอยู่รอด เครือสหพัฒน์ต่อสู้กับวิกฤตเศรษฐกิจมามาก เศรษฐกิจดีเราก็โต เศรษฐกิจไม่ดีเราก็ช้า ยุคเศรษฐกิจรถ 3 ล้อ บางธุรกิจเราก็โต บางธุรกิจถอย อย่างเสื้อผ้าถอยอยู่ อาหารขึ้นเร็ว แต่โดยเฉลี่ยธุรกิจยังโต ตอนนี้รายได้เราทั้งเครือทะลุ 3 แสนล้านบาทแล้ว"

   สำหรับปีนี้เครือสหพัฒน์เน้นลงทุนกับพาร์ตเนอร์ ลดการลงทุนธุรกิจแฟชั่น เน้นธุรกิจอาหาร ส่งออกมาม่า ขยายธุรกิจอื่นมากขึ้น เช่น อสังหาริมทรัพย์ บริการ เพ็ตแคร์ เฮลธ์แคร์ ล่าสุดลงทุนโรงแรมร่วมกับไทย โอบายาชิย่านราชดำริ ด้วยเศรษฐกิจปัจจุบันอย่าคิดฝืนธรรมชาติ ทุกอย่างให้เป็นตามธรรมชาติ โอกาสดีก็เดินเร็ว โอกาสช้าก็เดินช้า อย่าไปฝืน แต่เราต้องไดเวอร์ดิไฟด์

   "ช่วงนี้เศรษฐกิจทั่วโลกไม่ค่อยดี แต่เอเชีย เช่น เวียดนาม อินโดนีเซียยังดี ส่วนเศรษฐกิจไทยเคยดีมาก่อน อยู่ในฐานสูง ยังพอไปได้ แต่จีดีพีไทยยังโตต่ำลากยาว ตัวแปรอยู่ที่เศรษฐกิจสหรัฐ ผลกระทบจากภาษีทรัมป์ ที่สะเทือนเศรษฐกิจทั่วโลก คาดหวังว่าจะไม่ลากยาว และท่ามกลางสงครามการค้าสำหรับประเทศไทยก็ต้องวางตัวเป็นกลาง อย่าชิดซ้ายชิดขวา"

   เมื่อเศรษฐกิจถดถอยการจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยในระยะสั้น "เสี่ยบุณยสิทธิ์" มองว่ารัฐบาลต้องมีมาตรการควิกวิน เร่งสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติที่จะ เข้ามาลงทุน เพราะมีหลายประเทศอยากเข้ามาลงทุน แต่ไทยออกมาตรการช้า ขณะเดียวกันต้องสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนที่ในขณะนี้ตลาดหุ้นตกอยู่เรื่อยๆ โดยรัฐบาลต้องเร่งออกนโยบายที่ชัดเจน

   ส่วนระยะกลางถึงระยะยาว ต้องเร่งการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ทั้งขยายโครงการอีอีซี ลงทุนโครงการแลนด์บริดจ์ รวมถึงขุดคอคอดกระ แต่รัฐบาลต้องกล้าเดินหน้าโครงการเพื่อสนับสนุนการขนส่งและโลจิสติกส์ และทำให้เศรษฐกิจประเทศดีขึ้น เมื่อเศรษฐกิจดีจะทำให้กำลังซื้อดีขึ้น

   ขณะที่มุมมองของ อธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ผู้ซึ่งผ่านวิกฤตเศรษฐกิจมาหลายยุค ให้นิยามเศรษฐกิจไทยปี 2568 เหมือนอยู่บนพื้นที่โล่งแล้วเจอ "พายุทราย" มองไปข้างหน้าก็ไม่เห็นอะไร คนตัวเล็กที่ไม่แข็งแรงจะถูกพายุหอบไป คนตัวใหญ่ยังอยู่ แต่ก็เดินไปไหนไม่ได้ ต้องหลบภัย อยู่นิ่งๆ แต่ก็ต้องเอาตัวรอดให้ได้

   "รัฐบาลต้องเป็นผู้นำพาทุกคนให้พ้นวิกฤตไปให้ได้ด้วยการทำตัวเป็นเข็มทิศ ใช้องค์ความรู้นำพาภาคธุรกิจ ภาคประชาชน หยุดปัญหาเรื่องต่างๆ ไว้ก่อน เรามีปัญหาเฉพาะหน้าให้แก้คือเศรษฐกิจปากท้อง อย่าปล่อยให้ประชาชนสู้ตามลำพัง รัฐบาลต้องมีทีมงานที่แข็งแรงมาช่วยร่วมซัพพอร์ตด้วย เพราะจากสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันไปต่อลำบาก ขณะที่การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องเลือกคนมีความเหมาะสมมากำกับดูแลแต่ละกระทรวง" อธิปกล่าว

   ส่วน อิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ให้นิยามเศรษฐกิจ ปี 2568 ว่า "เหนื่อย" โดยเป็นการเหนื่อยยาวและเหนื่อยทุกธุรกิจ ไม่ใช่แค่ธุรกิจอสังหาฯ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยอยู่ในขั้นที่ป่วยเรื้อรัง ป่วยไม่หาย ยังถูกซ้ำเติมด้วยโรคต่างๆ ตั้งแต่ลองโควิด ภาษีทรัมป์ แผ่นดินไหว ปัญหาชายแดนไทยกับกัมพูชา

   "ทางออกต้องช่วยกันทั้งสองขา ทั้งนโยบายการเงินและการคลัง ขณะที่ภาคครัวเรือนต้องฟื้นฟูตัวเองให้แข็งแรง ภาคธุรกิจก็พยายามลีนธุรกิจเพื่อประคองตัวเอง อย่างอสังหาฯปีนี้ลดเปิดโครงการใหม่ แต่เป็นผลดีต่อตลาด ไม่มีซัพพลายใหม่เข้ามาเติมจากปัจจุบันที่สต๊อกเหลืออยู่มาก หรือธุรกิจโรงงานไม่ขยายการลงทุนเพิ่ม ทุกคนต้องการรักษาสภาพคล่อง ขณะที่แบงก์ยังตั้งการ์ดสูง ไม่ปล่อยกู้รายกลางและรายย่อย ส่วนใหญ่ปล่อยกู้ลูกค้าเดิม ด้านรายใหญ่หลังมีปัญหาหุ้นกู้ จะขยายเวลาชำระหุ้นกู้ออกไป หรือหันมาขอกู้แบงก์มากขึ้น" อิสระแชร์ มุมมอง

   ฝั่ง สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) นอกจากส่งซิกให้ "เก็บคองอเข่า" ยังนิยามเศรษฐกิจปี 2568 ว่า วันนี้ไม่รู้อะไรแล้วว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ต้องเก็บกระสุนไว้ใช้ยามศึกสงคราม เนื่องจากเราหลังพิงฝามานานแล้ว บรรยากาศตอนนี้ "มีทางสว่าง แต่ไม่รู้อะไรจะหล่นใส่" คาดหวังว่าภาครัฐจะออกนโยบายเศรษฐกิจที่กินได้ และต้องระบุให้ชัดเจนจะทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่ ใครทำใครได้ประโยชน์ ทุกนโยบายที่ออกมาต้องตอบปัญหา ตรงนี้ได้ โดยเฉพาะการแก้หนี้เสีย 1.2 ล้านล้านบาท จะทำอย่างไรถึงจะเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน อย่างกรณีผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สิ่งที่เขาต้องการคือ ความรู้ กู้เงินได้ การขายดี มีกำไร ใช้หนี้ทันเท่านั้น ซึ่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ก็ต้องออกนโยบายให้ตอบโจทย์กับตรงนี้

   ด้านนักธุรกิจภูธร ประกอบ ไชยสงคราม ผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ยงสงวนกรุ๊ป จำกัด ผู้ประกอบการ ธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งรายใหญ่ จ.อุบลราชธานี สะท้อนภาพเศรษฐกิจปี 2568 "เหนื่อยกว่าทุกปี" แม้ว่ายอดขายของยงสงวนช่วง 5 เดือนแรกปีนี้มียอดขายเป็นบวก 8% แต่มองว่ายอดขายตลอดเดือนมิถุนายนคงลดลงกว่า 10% ผลจากสถานการณ์ชายแดนไทยกับกัมพูชา ดังนั้น จึงยัง คาดการณ์กำลังซื้ออีก 6 เดือนที่เหลือไม่ถูก คงต้องประเมินแบบเดือนต่อเดือน เพราะยังมีปัจจัยลบกดดันกำลังซื้อและไม่เอื้อให้คนเพิ่มการใช้จ่ายได้

   "จากเศรษฐกิจปีนี้ที่ยังไม่ดี เรายังคงแผนลงทุนไว้ แต่ขยับช้าลงเป็นปีหน้า เพราะเป็นการลงทุนของเราเอง จึงไม่ต้องเร่งรีบ มีแผนลงทุนศูนย์ค้าส่ง 1 แห่ง ที่ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี เนื้อที่ 5 ไร่ ลงทุน 200 ล้านบาท และขยายสาขาเซฟแลนด์ 2 แห่ง ลงทุน 40 ล้านบาท หรือแห่งละ 10 ล้านบาท" ประกอบกล่าวทิ้งท้าย