อานิสงส์ท่องเที่ยว-อุตฯขยายลงทุนหนุนคอนโดฯ3จังหวัดEEC
Loading

อานิสงส์ท่องเที่ยว-อุตฯขยายลงทุนหนุนคอนโดฯ3จังหวัดEEC

วันที่ : 21 เมษายน 2568
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ทั้งนี้ คาดการณ์ยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ EEC ในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น โดยได้แรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มีวงเงิน 2.6 แสนล้านบาทที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งผู้บริโภคและนักลงทุน
   หลังพบQ4/67ยอดขอก่อสร้างพุ่ง1,752.2%

   อสังหาริมทรัพย์

   ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่าจากการสำรวจและจัดเก็บข้อมูลตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ EEC เพื่อทำการวิเคราะห์สถานการณ์ ตลาดที่อยู่อาศัยใน EEC ประจำไตรมาส 4/67 พบว่า ยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรามีหน่วยลดลง -0.8% ส่วนในด้านมูลค่าลดลง -0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ก็ถือว่าเป็นการติดลบในสัดส่วนที่ลดลง โดยมีปัจจัยบวกจากการเร่งโอนกรรมสิทธิ์ก่อนสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 67

  ขณะที่ใบอนุญาตจัดสรรที่ดินมีจำนวนโครงการลดลง -50.8% และจำนวนหน่วยลดลง -44.8% ส่วนพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างลดลง -18.3% โดยเป็นการลดลงของพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างแนวราบ -34.7% แต่มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างอาคารชุดเพิ่มขึ้น 1,752.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก EEC เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง เป็นศูนย์กลางของนิคมอุตสาหกรรม และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ อีกทั้งยังได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐให้เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านการลงทุน ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม และการจ้างงานในพื้นที่มีแรงงานทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาทำงานในพื้นที่มากขึ้น

  โดยยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ EEC ปี 2567 มีจำนวนหน่วยลดลง -6.7% และมูลค่าลดลงและ -7.8% เมื่อเทียบกับปี 66 ขณะที่ใบอนุญาตจัดสรรที่ดินมีจำนวนโครงการลดลง -32.3% และจำนวนหน่วยลดลง -40.2% ส่วนพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างลดลง -15.8% โดยเป็นการลดลงของพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างแนวราบมากถึง -15.8% และพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างอาคารชุดลดลง -15.2% เมื่อเทียบกับปี 66 สะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์ที่อยู่อาศัยอาคารชุดในภูมิภาคมีความต้องการมากกว่าที่อยู่อาศัยแนวราบ

   แนวโน้มดังกล่าว คาดว่าจะทำให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ EECในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น โดยได้แรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มีวงเงิน 2.6 แสนล้านบาท ที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งบริโภคและนักลงทุน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 68 ทำให้การลงทุนและการท่องเที่ยว ขณะที่โครงการ "คุณสู้ เราช่วย" ซึ่งมุ่งเน้นการลดปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กับประชาชน ทำให้คาดการณ์ว่าจะทำให้หน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 2.4% และมูลค่าเพิ่มขึ้น 1.2% ขณะที่ผู้ประกอบการอสังหาฯจะมีการวางแผนลงทุนในโครงการใหม่ๆ มากขึ้นโดยศูนย์ ข้อมูลอสังหาฯ คาดว่าจะมีใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 22.7% และพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบกับปี 67

   เปิดสถานการณ์ซัปพลายที่อยู่อาศัย EEC

   สำหรับสถานการณ์ซัปพลายที่อยู่อาศัยสะสมในพื้นที่ EEC นั้น ในแง่ของการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน ในไตรมาสที่ 4/67 มีโครงการที่อยู่อาศัยที่ได้รับอนุญาตจัดสรรที่ดินจากกรมที่ดิน จำนวน 29 โครงการลดลง -50.8% และมีจำนวนหน่วย 2,643 หน่วยลดลง -44.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสที่ 4/67 การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยวมากที่สุด จำนวน 1,139 หน่วย หรือประมาณ43.1% ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด รองลงมาเป็น ทาวน์เฮาส์ จำนวน 756 หน่วย คิดเป็น 28.6% และบ้านแฝด จำนวน 722 หน่วย คิดเป็น 27.3% ส่วนที่เหลือเป็นอาคารพาณิชย์และที่ดินจัดสรร

  ส่งผลให้ในภาพรวมปี67 มีใบอนุญาตจัดสรรที่ดินจากกรมที่ดินจำนวน 147 โครงการ ลดลง -32.3% และจำนวนหน่วย 12,415 หน่วย ลดลง -40.2% โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพื่อพัฒนาเป็นทาวน์เฮาส์มากที่สุดจำนวน 5,119 หน่วย คิดเป็น 41.2% ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 4,782 หน่วย คิดเป็น 38.5% และบ้านแฝดจำนวน 2,454 หน่วย คิดเป็น 19.8% ส่วนที่เหลือเป็นอาคารพาณิชย์ และที่ดินจัดสรร

   ทั้งนี้ หากพิจารณาเป็นรายจังหวัดใน EEC ปี 67 จังหวัดที่มีใบอนุญาตจัดสรรมากที่สุด เป็นอันดับ 1 คือ จังหวัดชลบุรี มีจำนวน 5,964 หน่วย คิดเป็น 48.0% ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด และมีใบอนุญาตจัดสรรลดลง -30.6% เมื่อเทียบกับปี 66 โดยเป็นใบอนุญาตจัดสรรประเภททาวน์เฮาส์มากที่สุดจำนวน 3,284 หน่วย ลดลง -19.0% รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 1,768 หน่วย ลดลง-11.0% และเป็นบ้านแฝดจำนวน 862 หน่วย ลดลง -62.7%

   อันดับ 2 จังหวัดระยอง มีจำนวน 4,998 หน่วย คิดเป็น 40.3% ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด และมี ใบอนุญาตจัดสรรลดลง -41.7% เมื่อเทียบกับปี 66 โดยเป็นใบอนุญาตจัดสรรประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 2,462 หน่วย ลดลง-16.5% รองลงมาเป็นทาวน์เฮาส์ จำนวน 1,301 หน่วย ลดลง-57.5% และเป็นบ้านแฝดจำนวน 1,226 หน่วย ลดลง -50.6%

   อันดับ 3 จังหวัดฉะเชิงเทรา มีจำนวน 1,453 หน่วย คิด เป็น 11.7 % ของใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด และมีใบอนุญาตจัดสรรลดลง -59.7% เมื่อเทียบกับปี 66 โดยเป็นใบอนุญาตจัดสรรประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 552 หน่วย ลดลง -60.6 รองลงมาเป็นทาวน์เฮาส์จำนวน 534 หน่วย ลดลง -46.3 และเป็นบ้านแฝดจำนวน 366 หน่วย ลดลง-67.3%

   คาดปี 68 ใบอนุญาตจัดสรรที่อยู่อาศัยโต 22.7%

   สำหรับแนวโน้มใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยใน EEC ปี 68 คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้น หากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลออกมา ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนและกระตุ้นให้มีการวางแผนลงทุนในโครงการใหม่ๆ มากขึ้น โดยคาดการณ์จะมีจำนวนใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัย ประมาณ 15,228 หน่วย เพิ่มขึ้น 22.7% เมื่อเทียบกับปี 67 โดย คาดว่าอยู่ในช่วงประมาณ 13,705 ถึง 16,751 หน่วย หรือมีการเปลี่ยนแปลงระหว่าง 10.4%-34.9% เมื่อเทียบกับจำนวนในปี 67 ที่ มี 20,765 หน่วย

   โดยในไตรมาสที่ 4/67 มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่ อาศัยใน EEC ทั้งที่เป็นที่อยู่อาศัยที่ปลูกสร้างเอง และที่อยู่อาศัยในโครงการจัดสรรและอาคารชุด มีจำนวน 842,316 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบ จำนวน 666,857 ตารางเมตร ลดลง -34.7% และอาคารชุดจำนวน 175,460 ตารางเมตร เพิ่มขึ้น 1,752.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีพื้นที่อนุญาตก่อสร้างอาคารชุดเพียง 9,473 ตารางเมตร (ตร.ม.)

   ทั้งนี้ ในปี 67 มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยใน EEC ทั้งที่เป็นที่อยู่อาศัยที่ปลูกสร้างเอง และที่อยู่อาศัยในโครงการจัดสรรและอาคารชุด มีจำนวนประมาณ 3,565,648 ตร.ม. แบ่งออกเป็นพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวนประมาณ 3,249,650 ตารางเมตร ลดลง -15.8% และอาคารชุดจำนวน 315,999 ตารางเมตร ลดลง-15.2% เมื่อเทียบกับปี 66

   ส่วนแนวโน้มพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยใน EEC ปี 68 คาดว่าจะมีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างจำนวน 3,654,453 ตารางเมตร เพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบกับปี 67 โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ จำนวน 3,471,730-4,202,621 ตารางเมตร มีอัตราการขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ -2.6% -17.9% เมื่อเทียบกับปี 67 ซึ่งมีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างจำนวน 4,233,728 หน่วย เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้น รวมทั้งคาดว่า การขออนุญาตจัดสรรที่ดินเพิ่มขึ้นและคาดว่าจะมีการขอปลูกสร้างบ้านของประชาชนเพิ่มขึ้น

   เมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัดใน EEC ปี 2567 จังหวัดที่มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยมากที่สุด เรียงลำดับได้ดังนี้

    อันดับ 1 จังหวัดชลบุรี มีพื้นที่จำนวน 2,298,759 ตารางเมตร คิดเป็น 64.5% ของพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างลดลง-7.3% เมื่อเทียบกับปี66 โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 2,015,536 ตารางเมตร พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยวมากที่สุด จำนวน 1,415,774 ตร.ม. ลดลง -10.7% เป็นทาวน์เฮาส์จำนวน 365,993 ตร.ม.เพิ่มขึ้น 5.7 และเป็นบ้านแฝดจำนวน 152,311 ตารางเมตร ลดลง -0.4% เมื่อเทียบกับปี 66 ตามลำดับ ส่วนอาคารชุดมี จำนวน 283,403 ตารางเมตร ลดลง-16.8% เมื่อเทียบกับปี 66

   อันดับ 2 จังหวัดระยอง มีพื้นที่จำนวน 790,936 ตารางเมตรคิดเป็นสัดส่วน 22.2% ของพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างลดลง -20.1% เมื่อเทียบกับ ปี 66 แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 761,528 ตารางเมตร พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 552,325 ตร.ม.ลดลง -13.4% รองลงมาเป็นทาวน์เฮาส์จำนวน 158,431 ตร.ม. ลดลง -25.2% และเป็นบ้านแฝดจำนวน 43,792 ตร.ม. ลดลง -58.7% เมื่อเทียบกับปี 66 ตามลำดับ ส่วนอาคารชุดมีจำนวน 29,408 ตารางเมตร เพิ่มขึ้น 15.6% จากปี66

   อันดับ 3 จังหวัดฉะเชิงเทรา มีพื้นที่จำนวน 475,954 ตารางเมตร คิดเป็น 13.3% ของพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด มีพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างลดลง -37.7 เมื่อเทียบกับ ปี 66 โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 472,767 ตร.ม.พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเภทบ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวน 384,206 ตารางเมตร ลดลง-35.4% รองลงมา เป็นทาวน์เฮาส์จำนวน 43,556 ตารางเมตร ลดลง -30.7 และเป็นอาคารพาณิชย์จำนวน 29,935 ตร.ม.เพิ่มขึ้น 4.3% เมื่อเทียบกับปี 2566 ตามลำดับ ส่วนอาคารชุดมีจำนวน 3,188 ตารางเมตร ลดลง-53.2% เมื่อเทียบกับปี 66

   สำหรับสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ในไตรมาสที่ 4/67 พบว่ามีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยใน EEC จำนวน 13,365 หน่วยลดลง -0.8% โดยมีมูลค่าการโอนที่ 33,407 ล้านบาทลดลง -0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 66 ที่มีจำนวน 13,475 หน่วย และมูลค่า 33,591 ล้านบาท โดยเป็นการโอน กรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบมากที่สุดจำนวน 9,408 หน่วย คิดเป็น 70.4% ลดลง -0.2% และมีมูลค่าการ โอนกรรมสิทธิ์ 24,051 ล้านบาท ลดลง-0.2% ส่วนยอดโอน อาคารชุด มีจำนวน 3,957 หน่วย คิดเป็น 29.6% ลดลง -2.2% และมีมูลค่า 9,356 ล้านบาท ลดลง -1.4%

   "สำหรับยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยใน EEC ทั้งปี มี จำนวน 48,095 หน่วย ลดลงจากปีก่อน -6.7% โดยมีมูลค่าการ โอนรวม 119,663 ล้านบาท ลดลง -7.8% โดยที่อยู่อาศัยแนวราบเป็นกลุ่มที่อยู่อาศัยที่มีการโอนมากที่สุด 33,097 หน่วย คิดเป็น 68.8% ลดลง -8.7% และมีมูลค่าลดลง -6.3% หรือมีมูลค่า 84,613 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 66"

    คาดการณ์ดีมานด์ที่อยู่อาศัยปี 68

    ส่วนแนวโน้มการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยใน EEC ปี 68 คาดว่าจะมีจำนวน 49,259 หน่วยเพิ่มขึ้น 2.4% โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ประมาณ 44,333-54,185 หน่วย มีการเปลี่ยนแปลงระหว่าง -7.8% -12.7% เมื่อเทียบกับปี 67 และคาดว่าจะมีมูลค่าการ โอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 121,137 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2% โดยมี ช่วงคาดการณ์อยู่ประมาณ 109,024-133,251 ล้านบาท มีการเปลี่ยนแปลงระหว่าง -8.9% -11.4% เมื่อเทียบกับปี 67 ซึ่งมีมูลค่า 129,767 ล้านบาท

    โดยคาดว่า จังหวัดชลบุรี มีจำนวนหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด 32,797 หน่วย และมีมูลค่า 85,983 ล้านบาท โดยเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบ 19,324 หน่วย มูลค่า 53,222 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์เฮาส์ 7,875 หน่วย มูลค่า 14,718 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดมีการโอนกรรมสิทธิ์ 13,473 หน่วยมีมูลค่า 32,761 ล้านบาท

    ส่วนจังหวัดระยองคาดว่าจะมียอดโอนรองจากชลบุรี โดยมีการโอน 11,292 หน่วย ลดลง -7.7% และมีมูลค่า 24,601 ล้านบาท ลดลง -10.1% จากปีก่อน โดยจะเป็นการโอนที่อยู่อาศัยแนวราบ 10,243 หน่วย มีมูลค่า 23,032 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการโอนบ้านเดี่ยวมากที่สุด 5,175 หน่วย มูลค่า 13,468 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดมีการโอน 1,049 หน่วย มูลค่า 1,569 ล้านบาท

    สำหรับจังหวัดฉะเชิงเทราเป็นจังหวัดที่มียอดโอนน้อยที่สุด โดยมียอดโอน 4,006 หน่วย ลดลง -16.0% และมีมูลค่า 9,079 ล้านบาท ลดลง -17.1% เมื่อเทียบกับปี 66 โดยเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบ 3,530 หน่วย มีมูลค่า 8,358 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการโอนกรรมสิทธิ์บ้านเดี่ยวมากที่สุด 1,617 หน่วย มีมูลค่า 4,492 ล้านบาท ส่วนอาคารชุด มีการโอนกรรมสิทธิ์ 476 หน่วย มีมูลค่า 721 ล้านบาท