ครม.เคาะลดค่าโอน-จำนองกระตุ้นอสังหาฯ ราคาไม่เกิน7ล้านบาท
Loading

ครม.เคาะลดค่าโอน-จำนองกระตุ้นอสังหาฯ ราคาไม่เกิน7ล้านบาท

วันที่ : 9 เมษายน 2568
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังต้องการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์โดยบรรเทาปัญหาอุปทานคงค้างที่อยู่ในระดับสูง จึงกำหนดระยะเวลามาตรการนี้ให้สอดคล้องกับมาตรการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV โดยให้มาตรการนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่กฎหมายได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569 ซึ่งจากข้อมูลในอดีต เมื่อ 2 มาตรการนี้ทำงานควบคู่กัน ในช่วงเวลาเดียวกัน จะส่งผลบวกต่อภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างมาก
    นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ได้มีมติเห็นชอบให้ 1.ลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ (จากปกติ 2%) เหลือ 0.01% และ 2.ค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์ อันเนื่องมาจากการจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวในคราวเดียวกัน (จากปกติ 1%) เหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ 2 ประเภท ได้แก่ 1.อาคารที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด หรือบ้านแถว หรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าว และ 2.ห้องชุดที่จดทะเบียนอาคารชุด โดยมีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาทต่อสัญญา โดยไม่รวมถึงกรณีการขายเฉพาะส่วน

    "กระทรวงการคลังต้องการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์โดยบรรเทาปัญหาอุปทานคงค้างที่อยู่ในระดับสูง จึงกำหนดระยะเวลามาตรการนี้ให้สอดคล้องกับมาตรการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV โดยให้มาตรการนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่กฎหมายได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569 ซึ่ง จากข้อมูลในอดีต เมื่อ 2 มาตรการนี้ทำงานควบคู่กัน ในช่วงเวลาเดียวกัน จะส่งผลบวกต่อภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างมาก" นายเผ่าภูมิ กล่าว

    ทั้งนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์มีความสำคัญมีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอื่นๆ ตลอดห่วงโซ่อุปทานการผลิต ทั้งความเชื่อมโยงไปข้างหน้า (Forward Linkage) ไปยังภาคการผลิตต่างๆ เช่น สาขาการค้า สถานที่เก็บสินค้าและบริการสินค้า บริการทางการเงิน การประกันชีวิต วิทยุ และโทรทัศน์ บริการบันเทิงและบริการส่วนบุคคล และมีผลต่อความ เชื่อมโยงไปข้างหลัง (Backward Linkage) เช่น สาขาการผลิตเหล็ก การผลิตซีเมนต์ การผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีต โรงเลื่อย การผลิตโลหะ การผลิตเครื่องจักร เป็นต้น

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา และภาวะหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ประกอบกับธนาคารพาณิชย์มีความระมัดระวังสูงที่จะปล่อยสินเชื่อ เพราะจะเกิดหนี้เสีย ทำให้ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2568 มียอดปฏิเสธสินเชื่อ ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ทั้งตลาดมากกว่า 40% แบ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท 55-60% ระดับราคา 3-7 ล้านบาท 40% และระดับราคา 7 ล้านบาทขึ้นไป 15%

    อนึ่ง ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รายงานผลสำรวจภาคสนามอุปทานและอุปสงค์ โครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขาย ประจำไตรมาส 4 ปี 2567 สถานการณ์ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านจัดสรรและอาคารชุด ในกรุงเทพฯ และ 5 จังหวัดปริมณฑล ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม ปรับตัวลดลงทั้งอุปสงค์ และอุปทานโดยอุปสงค์ที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ ณ ไตรมาส 4 ปี 2567 มีจำนวน 15,038 หน่วย ลดลง 21.6% มูลค่า 90,713 ล้านบาท ลดลง 8.1% ขณะที่จำนวนที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในไตรมาส 4 มีจำนวน 17,153 หน่วย ลดลง 45.3% มูลค่า 137,882 ล้านบาท ลดลง 42.5% การปรับตัวดังกล่าวมีผลให้หน่วยที่มีการเสนอขายทั้งหมดในตลาด ปี 2567 ลดลง 3.3% แต่มูลค่าเพิ่มขึ้น 8.2% โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 275,541 หน่วย มูลค่า 1,700,189 ล้านบาท มีโครงการเปิดขายใหม่ทั้งสิ้น 62,771 หน่วย ลดลง 34.9% มูลค่า 500,957 ล้านบาท ลดลง 16.2% มีจำนวนที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่รวม 59,585 หน่วย ลดลง 20.8% มูลค่า 348,991 ล้านบาท ลดลง 10.7% มีผลให้หน่วยเหลือขายสิ้นงวด ณ ปี 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 215,956 หน่วย เพิ่มขึ้น 2.9% คิดเป็นมูลค่า 1,351,198 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.5%

    ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ยังระบุอีกว่าแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ใน ปี 2568 ในกรณีปกติ ถ้ากำลังซื้อปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น การโอนมีแนวโน้มเพิ่มได้ที่ 1.6% แต่ถ้าหากรัฐบาลมีการต่ออายุมาตรการลดค่าโอน-จดจำนอง และผ่อนปรน LTV-loan to value จะเป็นปัจจัยบวกที่คาดว่าทำให้การโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศกลับมาบวกได้มากถึง 10% และจากมาตรการลดค่าโอน-จดจำนอง จาก 3% เหลือ 0.01% หรือค่าใช้จ่ายจากล้านละ 30,000 บาท ลดเหลือล้านละ 300 บาทในปี 2567 ที่มีอายุมาตรการระหว่าง 9 เมษายน-31 ธันวาคม 2567 รายได้จัดเก็บค่าโอนและจดจำนอง ณ กรมที่ดินลดลง 25.8% วงเงินรวม 5,000 กว่าล้านบาท โดยปี 2567 จัดเก็บได้ 14,117 ล้านบาท เทียบกับรายได้จัดเก็บปี 2566 จำนวน 19,031 ล้านบาท ซึ่งเป็นโจทย์ของรัฐบาลเช่นเดียวกันว่าหากต่ออายุมาตรการ ในปีนี้จะต้องนำงบประมาณแผ่นดินส่วนไหนมาอุดหนุนเพื่อกระตุ้นการซื้อและโอนที่อยู่อาศัยในปี 2568
ข่าวนโยบายการเงิน-การคลัง อื่นๆ