18มีค.'พิชัย' ถกส.แบงก์ให้กู้ช่วยรายย่อย 'นฤมล-ธรรมนัส' ลุยบึงกาฬ-บูมสวนยาง
วันที่ : 16 มีนาคม 2568
'พิชัย' ถกสมาคมธนาคารไทย 18 มีนาฯนี้ ลดดอกเบี้ยแบงก์พาณิชย์-ปล่อยสินเชื่อ ผู้ประกอบการรายย่อย 'บสย.' ถกค้ำประกันรถกระบะ
พิชัยจ่อขยายสินเชื่อผ่านแบงก์รัฐ
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยกรณีธนาคารออมสินเปิดตัวโครงการสินเชื่อสร้างเครดิต สร้างโอกาส จะขยายไปสถาบันการเงินของรัฐ หรือแบงก์รัฐอื่นหรือไม่ว่า แบงก์รัฐอื่นนั้นก็มีกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน โดยออมสินมีลูกค้าที่หลากหลายที่สุด ส่วนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ก็มีลูกค้าคนละแบบ ซึ่งรัฐบาลจะมีนโยบายการกระตุ้นที่แตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะกับลูกค้าของแต่ละแบงก์รัฐ
หวังแบงก์พาณิชย์ช่วยรายเล็ก
นายพิชัยกล่าวว่า มาตรการเติมสินเชื่อนั้นควรจะไหลไปยังธนาคารพาณิชย์ด้วย หวังว่าเมื่อรัฐบาลและแบงก์รัฐออกมาตรการแบบนี้แล้ว ธนาคารพาณิชย์จะเริ่มทำมาตรการด้วย ที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์มีผลประกอบการที่ใช้ได้ และดูแลลูกค้าขนาดใหญ่หรือขนาดกลางได้ดี แต่ลูกค้าขนาดเล็กอาจจะยังเข้มงวดและปล่อยสินเชื่อน้อยลง ต้องเข้าใจก่อนว่าลูกค้ารายกลาง รายใหญ่ ไม่สามารถทำธุรกิจหรือฟ้นตัวได้อย่างยั่งยืนได้ ถ้าลูกค้าขนาดเล็กระดับครัวเรือนยังไม่ฟ้น เพราะคนตัวเล็กนั้นถือเป็นลูกค้าคนสำคัญของธุรกิจทั้งนั้น ถ้าทำให้กลุ่มรายย่อยฟ้นก็ทำให้ธุรกิจและธนาคารดีด้วย
"ในจังหวะที่ความเชื่อมั่นกำลังมานี้ ผมเชื่อว่าธนาคารพาณิชย์อาจจะออกมาตรการปล่อยสินเชื่อรายย่อยเพิ่มขึ้นตามมา ขณะเดียวกันในวันที่ 18 มีนาคมนี้ ผมก็จะไปนั่งประชุมกับสมาคมธนาคารไทยด้วย ที่ผ่านมาเคยแต่คุยแบบไม่เป็นทางการ แต่ครั้งนี้จะขอไปร่วมฟังประชุม และไปเพื่อที่พูดคุยเรื่องลดดอกเบี้ยแบงก์พาณิชย์ และการกระตุ้นการปล่อย สินเชื่อรายย่อย" นายพิชัยกล่าว
ธอส.ลุยสินเชื่อกระตุ้นอสังหาฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส.นั้น ที่ผ่านมามีการช่วยเหลือลูกค้าเกษตรกรผ่านมาตรการพักหนี้เกษตรกร ขณะที่ในส่วนของมาตรการสินเชื่อตามนโยบายรัฐนั้น จะเป็นสินเชื่อตามนโยบายดูแลสินค้าเกษตร อาทิ โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ขณะที่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ล่าสุดได้ออกสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ สำหรับผู้ประกอบการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย เพื่อร่วมผลักดันเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโตต่อเนื่อง ได้แก่ 1.สินเชื่อโครงการส่งเสริมธุรกิจตลาดบ้านมือสอง ปี 2568 2.สินเชื่อพัฒนาโครงการ (Pre Finance) เพื่ออาคารคาร์บอนต่ำ และ 3.สินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการโฮมสเตย์ ประกอบกับที่รัฐบาลกำลัง ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่อนปรนอัตราส่วนการให้สินเชื่อโดยเทียบกับมูลค่าหลักประกัน (Loan to Value) หรือแอลทีวี และการพิจารณาลดค่าธรรมเนียมการโอนบ้านจากปกติ 2% ของราคาประเมินและค่าจดจำนองจากปกติ 1% ของราคาประเมิน ซึ่งการพิจารณาทั้งสองเรื่องนี้เป็นไปในทิศทาง ที่ดี และเอกชนภาคอสังหาริมทรัพย์ หวังว่าจะทันภายในปลายเดือนมีนาคมนี้ ที่จะมีการจัดมหกรรมบ้านและคอนโด
เอสเอ็มอีแบงก์ปล่อยกู้2หมื่นล.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ด้านภาคธุรกิจนั้น ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ ได้ออกโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงินรวม 2 หมื่นล้านบาท แบ่งวงเงินเป็น 2 โครงการ 1.สินเชื่อ ปลุกพลัง SME วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายเล็ก ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในทุกภาคธุรกิจที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 2 ล้านบาท และ 2.สินเชื่อ Beyond ติดปีก SME วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในทุกภาคธุรกิจที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 2 ล้านบาทขึ้น ซึ่งสามารถนำไปใช้ลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการ หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจ รวมถึงหมุนเวียน และเสริมสภาพคล่องในธุรกิจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ ยังมีมาตรการ ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ที่จะออกสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะใหม่ ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย.คาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือนมีนาคมนี้ เพื่อเป็นช่วยประชาชน ให้มีเครื่องมือทำมาหากิน พร้อมทั้งเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อ โดยรัฐบาลพยายามจะเร่งทันงานมอเตอร์โชว์ที่จะเกิดขึ้นปลายเดือนมีนาคมนี้
บสย.ถกอีซูซุจ่อค้ำรถกระบะ
นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) นายกิตติพงษ์ บุรณศิริ รองผู้จัดการทั่วไป สายงานกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์ และทีมงาน ร่วมหารือกับบริษัท ตรีเพชรเซลล์ จำกัด นำโดย นายวิชัย สินอนันต์พัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ร่วมประชุมและหารือถึงแนวทางการสนับสนุนสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะใหม่ ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. พร้อมแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์อุตสาหกรรมการผลิต ทิศทางด้านตลาดรถกระบะ และอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาโครงการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะของ บสย. เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 ณ ศูนย์การเรียนรู้ TCG Learning Center อาคารชาญอิสสระ
นายสิทธิกรกล่าวว่า ปัจจุบัน บสย.สามารถค้ำประกันสินเชื่อลีสซิ่งกับสถาบันการเงินและนอนแบงก์ที่สถาบันการเงินถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 50% ตามประกาศของกระทรวงการคลัง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา บสย.ได้เตรียมออกมาตรการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะ โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เข้าถึงสินเชื่อเช่าซื้อ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการซื้อรถกระบะคันใหม่เพื่อใช้ในการทำธุรกิจ ขนส่งและค้าขาย หรือการใช้เชิงพาณิชย์ รวมทั้งยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับสถาบันการเงินเพิ่มอัตราการอนุมัติสินเชื่อ ผ่านกลไกการค้ำประกันของ บสย. นอกจากนี้ยังเป็นการขานรับนโยบายของภาครัฐในการสนับสนุนภาคธุรกิจขนาดเล็ก และกระตุ้นตลาดรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่ซบเซาให้กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตลอดปีนี้
อีซูซุหนุนค้ำกระบะกระตุ้นซื้อ
ด้าน นายวิชัย สินอนันต์พัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีความยินดีที่จะทำงานร่วมกับ บสย. โดยเฉพาะการเข้ามาค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับสถาบันการเงิน ซึ่งรวมถึงตรีเพชรอีซูซุลีสซิ่ง และจะช่วยให้ภาพรวมตลาดรถกระบะขยายตัวขึ้น เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาภาพรวมตลาดรถยนต์ในไทยโดยรวมหดตัว ทั้งในแง่การผลิตเพื่อขายในประเทศและการผลิตเพื่อการส่งออก โดยในเดือนมกราคม 2568 รถกระบะขนาด 1 ตัน มียอดผลิตทั้งหมด 7.06 หมื่นคัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 18.65%
นายวิชัยกล่าวว่า ทั้งนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สะท้อนการเติบโตเศรษฐกิจภายในประเทศ ภาพรวมทั้งอุตสาหกรรมในช่วงที่ผ่านมา การผลิตเพื่อขายในประเทศและการส่งออกสัดส่วนอยู่ที่ 50:50 แต่ปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่าตลาดในประเทศหดตัว ทำให้การผลิตเพื่อขายในประเทศลดลงเหลือ 31% และส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 69% ซึ่งไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะรถกระบะ 1 ตัน ที่เป็นฐานการผลิตใหญ่ที่สุดของโลก โดยข้อมูลของสถาบันยานยนต์ ปี 2566 เผยว่าภาคยานยนต์มีสัดส่วน 18% ต่อจีดีพีไทย และมีการจ้างงานกว่า 8.5 แสนตำแหน่ง แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมนี้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
ชี้ตลาดในปท.หดตัว-ซบเซา
"ปัจจุบันยอดผลิตรถยนต์รวมทุกประเภทจากฐานการผลิตของไทยมีจำนวน 1.47 ล้านคัน เป็นสัดส่วนการผลิตรถกระบะ 1 ตัน เกือบ 50% หรือกว่า 7.3 แสนคัน นั่นหมายความว่ารถกระบะยังเป็นโปรดักต์แชมเปี้ยนของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สำหรับอีซูซุและผู้ผลิตรถกระบะรายอื่นๆ ปัจจุบันมีการใช้ ชิ้นส่วนภายในประเทศมากกว่า 90% แสดงให้เห็นว่าการผลิตรถกระบะทั้งซัพพลายเชนอยู่ที่ประเทศไทย ไทยคือฐานผลิตใหญ่ที่สุดในโลก แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดรถกระบะหดตัวต่อเนื่อง ปี 2566 การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศอยู่ที่ 28% ส่งออก 72% และปี 2567 การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศอยู่ที่ 20% การส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 80% และในปีนี้แนวโน้มตลาดยังคงซบเซาต่อเนื่อง แต่เมื่อภาครัฐมีมาตรการด้านการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะผ่านกลไกการค้ำประกันของ บสย. ก็เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคได้มากขึ้น" นายวิชัยกล่าว
ททท.มุ่งสร้างเชื่อมั่นนทท.จีน
น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ททท.ได้มีการทำงานร่วมกันกับทุกภาคส่วนในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนรวมถึงนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆ ซึ่งทาง ททท.ได้ทำงานร่วมกับสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ทั้งการประเมินสถานการณ์และตัวเลขการเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีนอย่างต่อเนื่อง และการทำงานเพื่อสร้างความมั่นใจในด้านภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนให้เชื่อมั่นว่านั่นมีความปลอดภัยและพร้อมต้อนรับการเข้ามาของนักท่องเที่ยว
น.ส.ฐาปนีย์กล่าวว่า จากการประเมินสถานการณ์ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2568 จนถึงปัจจุบัน เริ่มมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนเพิ่มมากขึ้น และในช่วงที่ผ่านมาแม้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนจะชะลอตัวลงในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากตั๋วเครื่องบินแบบเช่าเหมาลำเข้ามาลดลงบ้างเล็กน้อยประมาณ 20% และจากกระแสข่าวทั้งการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงข่าวจากเหตุความไม่ปลอดภัยต่างๆ อาจจะมีผลกระทบบ้างกับนักท่องเที่ยวชาวจีนในกลุ่มที่ไม่เคยเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย แต่นักท่องเที่ยวที่เคยเดินทางมาเมืองไทยจะรับรู้ว่าไทยเป็นประเทศที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว
งัดแผนเด็ดโรดโชว์เมืองรองจีน
น.ส.ฐาปนีย์กล่าวว่า อย่างไรก็ตามทาง ททท.ได้วางแผนกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวแบบทุกไตรมาสตลอดทั้งปี 2568 เพื่อดึงความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง อาทิ การวางแผนในการจัดทำโรดโชว์ในประเทศจีน เพื่อกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวไทย ซึ่งจะแบ่งเป็นทั้งงานโรดโชว์ที่ ททท.ดำเนินการเอง และร่วมมือกับภาคเอกชนในการจัดงานแบบยิ่งใหญ่ด้วย ซึ่งจะเน้นบุกตลาดเมืองหลักของจีนเชื่อมเมืองรองต่างๆ ในบางพื้นที่ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวจีนที่มีคุณภาพเข้ามา รวมถึงการทำแคมเปญ อาทิ การสนับสนุนเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากเมืองรอง และการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้โครงการและกิจกรรมผ่านสื่อช่องทางต่างๆ ของโครงการและช่องทางของพันธมิตรในการสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่ง ททท.อยากให้เชื่อมั่นว่าประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ปลอดภัยสำหรับการท่องเที่ยว
แนะกระตุ้นท่องเที่ยวต่อเนื่อง
นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง เปิดเผยว่า สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมา รัฐบาลถือว่าทำได้ดีในระดับนึง ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว หรือการแจกเงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ต แต่ว่ามาตรการกระตุ้นลักษณะนี้ เป็นการช่วยให้เศรษฐกิจโตขึ้นแค่ช่วงนึง อย่างไรก็ตามก็ถือว่ารัฐบาลทำหน้าที่ได้อย่างเต็มความสามารถ ภาพรวมการท่องเที่ยวถือว่าทำได้ดี แต่คิดว่ารัฐบาลก็สามารถทำได้ดีมากขึ้นกว่านี้ และถ้ากระตุ้นการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกจะทำให้การท่องเที่ยวไทยสามารถติดอันดับต้นๆ ของโลกได้ โดยอาจจะต้องประชาสัมพันธ์นโยบายมากขึ้น อาทิ ฟรีวีซ่า
"อยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการกระตุ้น การท่องเที่ยวเมืองรองมากขึ้น การท่องเที่ยวจะเป็นเครื่องมือสำคัญของการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ดียิ่งขึ้น และการท่องเที่ยวจะไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 แต่อย่างใด เพราะนโยบายของทรัมป์ 2.0 จะเน้นเรื่องของการค้า แต่ไม่เน้นในส่วนของภาคบริการ" นายสมชายกล่าว
ขยายส่งออกไปตลาดใหม่
นายสมชายกล่าวอีกว่า แม้ขณะนี้หลายฝ่ายจะมีความกังวลเรื่องนโยบายทรัมป์ 2.0 แต่สิ่งที่รัฐบาลและเอกชนจะต้องให้ความใส่ใจอย่างต่อเนื่อง คือ การส่งออกของประเทศไทย ซึ่งในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 ถือว่าทำได้ดีเติบโตกว่า 13% โดยมีข้อเสนอแนะ คือ 1.พัฒนาความแม่นยำในตลาดเก่า ภายใต้ความกดดันจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่กลับมาดำรงตำแหน่งเป็นครั้งที่สอง หรือทรัมป์ 2.0 ซึ่งถ้าหากพัฒนาด้านความแม่นยำ ก็จะขยายส่วนแบ่งตลาดไปยังส่วนเก่าที่จะถูกกีดกันทางการค้าได้ 2.การขยายไปตลาดใหม่ เช่น การขยายไปตะวันออกกลาง หรือโซนเอเชียกลาง หรือแม้กระทั่งในแถบทวีปแอฟริกา 3.เร่งการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี ซึ่งจะต้องเร่งแก้ไขภายในปี 2568
นายสมชายกล่าวว่า อีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ คือ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จะต้องเร่งให้เกิดการลงทุนจากยอดการออกบัตรลงทุนให้ได้ 45% ซึ่งจะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตยิ่งขึ้นในปีนี้
ดีอีเตือน5กลุ่มข่าวปลอม
นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ในฐานะโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบและติดตาม ข่าวปลอมระหว่างวันที่ 7-13 มีนาคม 2568 พบข้อความที่ต้องตรวจสอบกว่า 655 ข้อความ จากจำนวนข้อความทั้งหมด 831,000 ข้อความ โดยแหล่งที่พบเบาะแสมากที่สุดมาจากการฟังเสียงของผู้บริโภคบนสื่อสังคมออนไลน์ 617 ข้อความ ตามมาด้วยไลน์ ออฟฟิเชียล 36 ข้อความ และเฟซบุ๊ก 2 ข้อความ สำหรับ 5 กลุ่มข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ได้แก่ 1.ข่าวนโยบายรัฐบาลและราชการ 102 เรื่อง 2.ข่าวเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพและสินค้าอันตราย 63 เรื่อง 3.ข่าวเกี่ยวกับภัยพิบัติ 14 เรื่อง 4.ข่าวด้านเศรษฐกิจ 4 เรื่อง 5.ข่าวอาชญากรรมออนไลน์ 23 เรื่อง
นายเวทางค์กล่าวว่า ขณะที่ 5 อันดับข่าวปลอมที่ถูกแชร์มากที่สุดในสัปดาห์นี้ พบว่าส่วนใหญ่เป็นข่าวเกี่ยวกับโครงการของภาครัฐได้แก่ 1.รีบยืนยันตัวตนรับเงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 ก่อนโดนตัดสิทธิ 2.เพจใบขับขี่ออนไลน์ทุกชนิด ลดราคาใบขับขี่ ผู้ใช้งานใหม่ 1,500 บาท 3.ธ.ออมสิน ปล่อยกู้รายละ 800,000 บาท ดอกเบี้ย 0.5% ต่อเดือน เปิดลงทะเบียนถึง 31 มี.ค.68 4.เรือนจำไทยมีขาใหญ่ นช.สมเด็จ ดูแลนักโทษ เงินหมุนเวียนผ่านบัญชีม้า 10-20 ล้านบาท 5.ธนาคารออมสินเปิดให้กู้ทุกอาชีพ วงเงิน 100,000 บาท ติดต่อผ่าน TikTok amy1994_16
วอนหยุดแชร์-ระวังสูญทรัพย์
"กรณีข่าว รีบยืนยันตัวตนรับเงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 ก่อนโดนตัดสิทธินั้นเป็นข้อมูลเท็จ โดยจากการตรวจสอบร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือดีจีเอ ยืนยันว่าการยืนยันตัวตนบนแอพพลิเคชั่น ทางรัฐ สามารถทำได้ถึงวันที่ 15 กันยายน 2567 เท่านั้น ทั้งนี้ หากประชาชนเข้าแอพพ์และพบหน้าจอให้ยืนยันตัวตนใหม่ อาจเกิดจากไม่ได้เข้าใช้งานแอพพ์เป็นเวลานาน หรือเคยลบแอพพ์ไปหลังจากลงทะเบียนแล้ว" นายเวทางค์กล่าว
นายเวทางค์กล่าวว่า นอกจากนี้ ข่าวปลอมอันดับ 2 เรื่อง เพจใบขับขี่ออนไลน์ทุกชนิด ลดราคาใบขับขี่ ผู้ใช้งานใหม่ 1,500 บาท กระทรวงดีอีได้ตรวจสอบร่วมกับกรมการขนส่งทางบก พบว่าเป็นข้อมูลเท็จ อย่างไรก็ดี การขอรับใบขับขี่ทุกชนิดต้องดำเนินการที่สำนักงานขนส่งด้วยตนเองเท่านั้น โดยต้องผ่านขั้นตอนมาตรฐานดังนี้ 1.ตรวจสอบเอกสาร 2.ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย 3.อบรม และสอบข้อเขียน 4.ทดสอบขับรถ และ 5.ถ่ายรูปและรับใบขับขี่ ฉะนั้น กระทรวงดีอีขอเตือนว่าไม่มีการออกใบขับขี่ออนไลน์ และขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อหรือให้ข้อมูลส่วนตัวกับเพจที่แอบอ้างดังกล่าว และขอความร่วมมือประชาชน อย่าหลงเชื่อ หรือแชร์ข้อมูลข่าวปลอม เพราะอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดและสูญเสียทรัพย์สินได้
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยกรณีธนาคารออมสินเปิดตัวโครงการสินเชื่อสร้างเครดิต สร้างโอกาส จะขยายไปสถาบันการเงินของรัฐ หรือแบงก์รัฐอื่นหรือไม่ว่า แบงก์รัฐอื่นนั้นก็มีกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน โดยออมสินมีลูกค้าที่หลากหลายที่สุด ส่วนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ก็มีลูกค้าคนละแบบ ซึ่งรัฐบาลจะมีนโยบายการกระตุ้นที่แตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะกับลูกค้าของแต่ละแบงก์รัฐ
หวังแบงก์พาณิชย์ช่วยรายเล็ก
นายพิชัยกล่าวว่า มาตรการเติมสินเชื่อนั้นควรจะไหลไปยังธนาคารพาณิชย์ด้วย หวังว่าเมื่อรัฐบาลและแบงก์รัฐออกมาตรการแบบนี้แล้ว ธนาคารพาณิชย์จะเริ่มทำมาตรการด้วย ที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์มีผลประกอบการที่ใช้ได้ และดูแลลูกค้าขนาดใหญ่หรือขนาดกลางได้ดี แต่ลูกค้าขนาดเล็กอาจจะยังเข้มงวดและปล่อยสินเชื่อน้อยลง ต้องเข้าใจก่อนว่าลูกค้ารายกลาง รายใหญ่ ไม่สามารถทำธุรกิจหรือฟ้นตัวได้อย่างยั่งยืนได้ ถ้าลูกค้าขนาดเล็กระดับครัวเรือนยังไม่ฟ้น เพราะคนตัวเล็กนั้นถือเป็นลูกค้าคนสำคัญของธุรกิจทั้งนั้น ถ้าทำให้กลุ่มรายย่อยฟ้นก็ทำให้ธุรกิจและธนาคารดีด้วย
"ในจังหวะที่ความเชื่อมั่นกำลังมานี้ ผมเชื่อว่าธนาคารพาณิชย์อาจจะออกมาตรการปล่อยสินเชื่อรายย่อยเพิ่มขึ้นตามมา ขณะเดียวกันในวันที่ 18 มีนาคมนี้ ผมก็จะไปนั่งประชุมกับสมาคมธนาคารไทยด้วย ที่ผ่านมาเคยแต่คุยแบบไม่เป็นทางการ แต่ครั้งนี้จะขอไปร่วมฟังประชุม และไปเพื่อที่พูดคุยเรื่องลดดอกเบี้ยแบงก์พาณิชย์ และการกระตุ้นการปล่อย สินเชื่อรายย่อย" นายพิชัยกล่าว
ธอส.ลุยสินเชื่อกระตุ้นอสังหาฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส.นั้น ที่ผ่านมามีการช่วยเหลือลูกค้าเกษตรกรผ่านมาตรการพักหนี้เกษตรกร ขณะที่ในส่วนของมาตรการสินเชื่อตามนโยบายรัฐนั้น จะเป็นสินเชื่อตามนโยบายดูแลสินค้าเกษตร อาทิ โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ขณะที่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ล่าสุดได้ออกสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ สำหรับผู้ประกอบการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย เพื่อร่วมผลักดันเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโตต่อเนื่อง ได้แก่ 1.สินเชื่อโครงการส่งเสริมธุรกิจตลาดบ้านมือสอง ปี 2568 2.สินเชื่อพัฒนาโครงการ (Pre Finance) เพื่ออาคารคาร์บอนต่ำ และ 3.สินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการโฮมสเตย์ ประกอบกับที่รัฐบาลกำลัง ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่อนปรนอัตราส่วนการให้สินเชื่อโดยเทียบกับมูลค่าหลักประกัน (Loan to Value) หรือแอลทีวี และการพิจารณาลดค่าธรรมเนียมการโอนบ้านจากปกติ 2% ของราคาประเมินและค่าจดจำนองจากปกติ 1% ของราคาประเมิน ซึ่งการพิจารณาทั้งสองเรื่องนี้เป็นไปในทิศทาง ที่ดี และเอกชนภาคอสังหาริมทรัพย์ หวังว่าจะทันภายในปลายเดือนมีนาคมนี้ ที่จะมีการจัดมหกรรมบ้านและคอนโด
เอสเอ็มอีแบงก์ปล่อยกู้2หมื่นล.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ด้านภาคธุรกิจนั้น ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ ได้ออกโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงินรวม 2 หมื่นล้านบาท แบ่งวงเงินเป็น 2 โครงการ 1.สินเชื่อ ปลุกพลัง SME วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายเล็ก ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในทุกภาคธุรกิจที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 2 ล้านบาท และ 2.สินเชื่อ Beyond ติดปีก SME วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในทุกภาคธุรกิจที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 2 ล้านบาทขึ้น ซึ่งสามารถนำไปใช้ลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการ หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจ รวมถึงหมุนเวียน และเสริมสภาพคล่องในธุรกิจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ ยังมีมาตรการ ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ที่จะออกสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะใหม่ ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย.คาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือนมีนาคมนี้ เพื่อเป็นช่วยประชาชน ให้มีเครื่องมือทำมาหากิน พร้อมทั้งเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อ โดยรัฐบาลพยายามจะเร่งทันงานมอเตอร์โชว์ที่จะเกิดขึ้นปลายเดือนมีนาคมนี้
บสย.ถกอีซูซุจ่อค้ำรถกระบะ
นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) นายกิตติพงษ์ บุรณศิริ รองผู้จัดการทั่วไป สายงานกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์ และทีมงาน ร่วมหารือกับบริษัท ตรีเพชรเซลล์ จำกัด นำโดย นายวิชัย สินอนันต์พัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ร่วมประชุมและหารือถึงแนวทางการสนับสนุนสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะใหม่ ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. พร้อมแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์อุตสาหกรรมการผลิต ทิศทางด้านตลาดรถกระบะ และอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาโครงการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะของ บสย. เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 ณ ศูนย์การเรียนรู้ TCG Learning Center อาคารชาญอิสสระ
นายสิทธิกรกล่าวว่า ปัจจุบัน บสย.สามารถค้ำประกันสินเชื่อลีสซิ่งกับสถาบันการเงินและนอนแบงก์ที่สถาบันการเงินถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 50% ตามประกาศของกระทรวงการคลัง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา บสย.ได้เตรียมออกมาตรการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะ โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เข้าถึงสินเชื่อเช่าซื้อ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการซื้อรถกระบะคันใหม่เพื่อใช้ในการทำธุรกิจ ขนส่งและค้าขาย หรือการใช้เชิงพาณิชย์ รวมทั้งยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับสถาบันการเงินเพิ่มอัตราการอนุมัติสินเชื่อ ผ่านกลไกการค้ำประกันของ บสย. นอกจากนี้ยังเป็นการขานรับนโยบายของภาครัฐในการสนับสนุนภาคธุรกิจขนาดเล็ก และกระตุ้นตลาดรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่ซบเซาให้กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตลอดปีนี้
อีซูซุหนุนค้ำกระบะกระตุ้นซื้อ
ด้าน นายวิชัย สินอนันต์พัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีความยินดีที่จะทำงานร่วมกับ บสย. โดยเฉพาะการเข้ามาค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับสถาบันการเงิน ซึ่งรวมถึงตรีเพชรอีซูซุลีสซิ่ง และจะช่วยให้ภาพรวมตลาดรถกระบะขยายตัวขึ้น เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาภาพรวมตลาดรถยนต์ในไทยโดยรวมหดตัว ทั้งในแง่การผลิตเพื่อขายในประเทศและการผลิตเพื่อการส่งออก โดยในเดือนมกราคม 2568 รถกระบะขนาด 1 ตัน มียอดผลิตทั้งหมด 7.06 หมื่นคัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 18.65%
นายวิชัยกล่าวว่า ทั้งนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สะท้อนการเติบโตเศรษฐกิจภายในประเทศ ภาพรวมทั้งอุตสาหกรรมในช่วงที่ผ่านมา การผลิตเพื่อขายในประเทศและการส่งออกสัดส่วนอยู่ที่ 50:50 แต่ปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่าตลาดในประเทศหดตัว ทำให้การผลิตเพื่อขายในประเทศลดลงเหลือ 31% และส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 69% ซึ่งไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะรถกระบะ 1 ตัน ที่เป็นฐานการผลิตใหญ่ที่สุดของโลก โดยข้อมูลของสถาบันยานยนต์ ปี 2566 เผยว่าภาคยานยนต์มีสัดส่วน 18% ต่อจีดีพีไทย และมีการจ้างงานกว่า 8.5 แสนตำแหน่ง แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมนี้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
ชี้ตลาดในปท.หดตัว-ซบเซา
"ปัจจุบันยอดผลิตรถยนต์รวมทุกประเภทจากฐานการผลิตของไทยมีจำนวน 1.47 ล้านคัน เป็นสัดส่วนการผลิตรถกระบะ 1 ตัน เกือบ 50% หรือกว่า 7.3 แสนคัน นั่นหมายความว่ารถกระบะยังเป็นโปรดักต์แชมเปี้ยนของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สำหรับอีซูซุและผู้ผลิตรถกระบะรายอื่นๆ ปัจจุบันมีการใช้ ชิ้นส่วนภายในประเทศมากกว่า 90% แสดงให้เห็นว่าการผลิตรถกระบะทั้งซัพพลายเชนอยู่ที่ประเทศไทย ไทยคือฐานผลิตใหญ่ที่สุดในโลก แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดรถกระบะหดตัวต่อเนื่อง ปี 2566 การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศอยู่ที่ 28% ส่งออก 72% และปี 2567 การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศอยู่ที่ 20% การส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 80% และในปีนี้แนวโน้มตลาดยังคงซบเซาต่อเนื่อง แต่เมื่อภาครัฐมีมาตรการด้านการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะผ่านกลไกการค้ำประกันของ บสย. ก็เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคได้มากขึ้น" นายวิชัยกล่าว
ททท.มุ่งสร้างเชื่อมั่นนทท.จีน
น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ททท.ได้มีการทำงานร่วมกันกับทุกภาคส่วนในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนรวมถึงนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆ ซึ่งทาง ททท.ได้ทำงานร่วมกับสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ทั้งการประเมินสถานการณ์และตัวเลขการเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีนอย่างต่อเนื่อง และการทำงานเพื่อสร้างความมั่นใจในด้านภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนให้เชื่อมั่นว่านั่นมีความปลอดภัยและพร้อมต้อนรับการเข้ามาของนักท่องเที่ยว
น.ส.ฐาปนีย์กล่าวว่า จากการประเมินสถานการณ์ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2568 จนถึงปัจจุบัน เริ่มมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนเพิ่มมากขึ้น และในช่วงที่ผ่านมาแม้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนจะชะลอตัวลงในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากตั๋วเครื่องบินแบบเช่าเหมาลำเข้ามาลดลงบ้างเล็กน้อยประมาณ 20% และจากกระแสข่าวทั้งการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงข่าวจากเหตุความไม่ปลอดภัยต่างๆ อาจจะมีผลกระทบบ้างกับนักท่องเที่ยวชาวจีนในกลุ่มที่ไม่เคยเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย แต่นักท่องเที่ยวที่เคยเดินทางมาเมืองไทยจะรับรู้ว่าไทยเป็นประเทศที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว
งัดแผนเด็ดโรดโชว์เมืองรองจีน
น.ส.ฐาปนีย์กล่าวว่า อย่างไรก็ตามทาง ททท.ได้วางแผนกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวแบบทุกไตรมาสตลอดทั้งปี 2568 เพื่อดึงความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง อาทิ การวางแผนในการจัดทำโรดโชว์ในประเทศจีน เพื่อกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวไทย ซึ่งจะแบ่งเป็นทั้งงานโรดโชว์ที่ ททท.ดำเนินการเอง และร่วมมือกับภาคเอกชนในการจัดงานแบบยิ่งใหญ่ด้วย ซึ่งจะเน้นบุกตลาดเมืองหลักของจีนเชื่อมเมืองรองต่างๆ ในบางพื้นที่ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวจีนที่มีคุณภาพเข้ามา รวมถึงการทำแคมเปญ อาทิ การสนับสนุนเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากเมืองรอง และการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้โครงการและกิจกรรมผ่านสื่อช่องทางต่างๆ ของโครงการและช่องทางของพันธมิตรในการสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่ง ททท.อยากให้เชื่อมั่นว่าประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ปลอดภัยสำหรับการท่องเที่ยว
แนะกระตุ้นท่องเที่ยวต่อเนื่อง
นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง เปิดเผยว่า สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมา รัฐบาลถือว่าทำได้ดีในระดับนึง ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว หรือการแจกเงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ต แต่ว่ามาตรการกระตุ้นลักษณะนี้ เป็นการช่วยให้เศรษฐกิจโตขึ้นแค่ช่วงนึง อย่างไรก็ตามก็ถือว่ารัฐบาลทำหน้าที่ได้อย่างเต็มความสามารถ ภาพรวมการท่องเที่ยวถือว่าทำได้ดี แต่คิดว่ารัฐบาลก็สามารถทำได้ดีมากขึ้นกว่านี้ และถ้ากระตุ้นการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกจะทำให้การท่องเที่ยวไทยสามารถติดอันดับต้นๆ ของโลกได้ โดยอาจจะต้องประชาสัมพันธ์นโยบายมากขึ้น อาทิ ฟรีวีซ่า
"อยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการกระตุ้น การท่องเที่ยวเมืองรองมากขึ้น การท่องเที่ยวจะเป็นเครื่องมือสำคัญของการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ดียิ่งขึ้น และการท่องเที่ยวจะไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 แต่อย่างใด เพราะนโยบายของทรัมป์ 2.0 จะเน้นเรื่องของการค้า แต่ไม่เน้นในส่วนของภาคบริการ" นายสมชายกล่าว
ขยายส่งออกไปตลาดใหม่
นายสมชายกล่าวอีกว่า แม้ขณะนี้หลายฝ่ายจะมีความกังวลเรื่องนโยบายทรัมป์ 2.0 แต่สิ่งที่รัฐบาลและเอกชนจะต้องให้ความใส่ใจอย่างต่อเนื่อง คือ การส่งออกของประเทศไทย ซึ่งในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 ถือว่าทำได้ดีเติบโตกว่า 13% โดยมีข้อเสนอแนะ คือ 1.พัฒนาความแม่นยำในตลาดเก่า ภายใต้ความกดดันจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่กลับมาดำรงตำแหน่งเป็นครั้งที่สอง หรือทรัมป์ 2.0 ซึ่งถ้าหากพัฒนาด้านความแม่นยำ ก็จะขยายส่วนแบ่งตลาดไปยังส่วนเก่าที่จะถูกกีดกันทางการค้าได้ 2.การขยายไปตลาดใหม่ เช่น การขยายไปตะวันออกกลาง หรือโซนเอเชียกลาง หรือแม้กระทั่งในแถบทวีปแอฟริกา 3.เร่งการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี ซึ่งจะต้องเร่งแก้ไขภายในปี 2568
นายสมชายกล่าวว่า อีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ คือ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จะต้องเร่งให้เกิดการลงทุนจากยอดการออกบัตรลงทุนให้ได้ 45% ซึ่งจะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตยิ่งขึ้นในปีนี้
ดีอีเตือน5กลุ่มข่าวปลอม
นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ในฐานะโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบและติดตาม ข่าวปลอมระหว่างวันที่ 7-13 มีนาคม 2568 พบข้อความที่ต้องตรวจสอบกว่า 655 ข้อความ จากจำนวนข้อความทั้งหมด 831,000 ข้อความ โดยแหล่งที่พบเบาะแสมากที่สุดมาจากการฟังเสียงของผู้บริโภคบนสื่อสังคมออนไลน์ 617 ข้อความ ตามมาด้วยไลน์ ออฟฟิเชียล 36 ข้อความ และเฟซบุ๊ก 2 ข้อความ สำหรับ 5 กลุ่มข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ได้แก่ 1.ข่าวนโยบายรัฐบาลและราชการ 102 เรื่อง 2.ข่าวเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพและสินค้าอันตราย 63 เรื่อง 3.ข่าวเกี่ยวกับภัยพิบัติ 14 เรื่อง 4.ข่าวด้านเศรษฐกิจ 4 เรื่อง 5.ข่าวอาชญากรรมออนไลน์ 23 เรื่อง
นายเวทางค์กล่าวว่า ขณะที่ 5 อันดับข่าวปลอมที่ถูกแชร์มากที่สุดในสัปดาห์นี้ พบว่าส่วนใหญ่เป็นข่าวเกี่ยวกับโครงการของภาครัฐได้แก่ 1.รีบยืนยันตัวตนรับเงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 ก่อนโดนตัดสิทธิ 2.เพจใบขับขี่ออนไลน์ทุกชนิด ลดราคาใบขับขี่ ผู้ใช้งานใหม่ 1,500 บาท 3.ธ.ออมสิน ปล่อยกู้รายละ 800,000 บาท ดอกเบี้ย 0.5% ต่อเดือน เปิดลงทะเบียนถึง 31 มี.ค.68 4.เรือนจำไทยมีขาใหญ่ นช.สมเด็จ ดูแลนักโทษ เงินหมุนเวียนผ่านบัญชีม้า 10-20 ล้านบาท 5.ธนาคารออมสินเปิดให้กู้ทุกอาชีพ วงเงิน 100,000 บาท ติดต่อผ่าน TikTok amy1994_16
วอนหยุดแชร์-ระวังสูญทรัพย์
"กรณีข่าว รีบยืนยันตัวตนรับเงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 ก่อนโดนตัดสิทธินั้นเป็นข้อมูลเท็จ โดยจากการตรวจสอบร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือดีจีเอ ยืนยันว่าการยืนยันตัวตนบนแอพพลิเคชั่น ทางรัฐ สามารถทำได้ถึงวันที่ 15 กันยายน 2567 เท่านั้น ทั้งนี้ หากประชาชนเข้าแอพพ์และพบหน้าจอให้ยืนยันตัวตนใหม่ อาจเกิดจากไม่ได้เข้าใช้งานแอพพ์เป็นเวลานาน หรือเคยลบแอพพ์ไปหลังจากลงทะเบียนแล้ว" นายเวทางค์กล่าว
นายเวทางค์กล่าวว่า นอกจากนี้ ข่าวปลอมอันดับ 2 เรื่อง เพจใบขับขี่ออนไลน์ทุกชนิด ลดราคาใบขับขี่ ผู้ใช้งานใหม่ 1,500 บาท กระทรวงดีอีได้ตรวจสอบร่วมกับกรมการขนส่งทางบก พบว่าเป็นข้อมูลเท็จ อย่างไรก็ดี การขอรับใบขับขี่ทุกชนิดต้องดำเนินการที่สำนักงานขนส่งด้วยตนเองเท่านั้น โดยต้องผ่านขั้นตอนมาตรฐานดังนี้ 1.ตรวจสอบเอกสาร 2.ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย 3.อบรม และสอบข้อเขียน 4.ทดสอบขับรถ และ 5.ถ่ายรูปและรับใบขับขี่ ฉะนั้น กระทรวงดีอีขอเตือนว่าไม่มีการออกใบขับขี่ออนไลน์ และขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อหรือให้ข้อมูลส่วนตัวกับเพจที่แอบอ้างดังกล่าว และขอความร่วมมือประชาชน อย่าหลงเชื่อ หรือแชร์ข้อมูลข่าวปลอม เพราะอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดและสูญเสียทรัพย์สินได้
ข่าวนโยบายการเงิน-การคลัง อื่นๆ