'แสนสิริ' รับมือปัจจัยลบ โฟกัสบ้านพรีเมียมดักกำลังซื้อ
Loading

'แสนสิริ' รับมือปัจจัยลบ โฟกัสบ้านพรีเมียมดักกำลังซื้อ

วันที่ : 24 พฤษภาคม 2567
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) รายงานความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาพรวมไตรมาส 1 ปี 2567 มีค่าดัชนีความเชื่อมั่น 39.2 ซึ่งลดลงเมื่อเทียบไตรมาส 4 ปี 2566 ที่มี ค่าดัชนี 44.5 และเป็นระดับความเชื่อมั่นที่ต่ำกว่า ค่ากลาง สอดคล้องตัวเลขยอดขายและยอดโอนลดลง
    บุษกร ภู่แส  

    กรุงเทพธุรกิจ


    ภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบทั่วหน้า ทั้งยอดขาย ยอดโอนลดลง อย่างไรก็ดี แสนสิริ ยังคงรักษาผลประกอบการค่อนข้างดี โดยเฉพาะไตรมาสแรก แม้ยอดขายต่อโครงการลดลง แต่สิ่งที่ทำให้รายได้ยังคงสม่ำเสมอ เป็นผลมาจากการปรับกลยุทธ์ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาตามสภาพตลาดที่มีปัญหากำลังซื้อระดับแมสได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบ ค่อนข้างมาก

    "แสนสิริจึงหันไปโฟกัสสินค้าพรีเมียมมากขึ้นจากปกติโครงการขายหมดจะมีโครงการขายใหม่ทยอยออกมาในระดับมีเดียมแมส แทนที่จะเปิดระดับเดิมก็เปิดพรีเมียมแทน จากเดิมขายราคาหลังละ 5 ล้านบาท ก็เปลี่ยนมาออกบ้านหลังละ 15 ล้านบาท ขาย 1 หลังเท่ากันแต่แวลูชดเชยมากกว่า"

     บริษัทยังได้หันไปโฟกัสโครงการบ้านมากขึ้นจากเดิมเน้นพัฒนาคอนโดมิเนียมเป็นพอร์ตใหญ่ รายได้สวิง! ซึ่งโครงการบ้าน สามารถรับรู้รายได้สม่ำเสมอ ที่สำคัญบริหารจัดการได้ง่าย "เงินไม่จม" เหมือนการพัฒนาคอนโดมิเนียม ปัจจุบันมีสัดส่วนโครงการแนวราบ 70% คอนโดมิเนียม 30% จากเดิม 50:50 ในช่วง ก่อนโควิด-19 ส่งผลต่อผลประกอบการ ออกมาดีขึ้น อีกทั้งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการยอมรับต่อแบรนด์แสนสิริ มีความน่าเชื่อถือส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ

      อย่างไรก็ตาม หลังจากรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ บรรยากาศในตลาดีดขึ้นสังเกตจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มบ้านและคอนโดมิเนียมราคา 7 ล้านบาทลงมา ซึ่งแสนสิริ มีสัดส่วนกลุ่มนี้ 30% แต่มาตรการดังกล่าวทำให้ยอดขายกลุ่มบ้านราคาแพงของแสนสิริเพิ่มขึ้นถึง 20%

     "ปัจจุบันแสนสิริมียอดรีเจกต์เรต 6-8% เพราะมีการสกรีนลูกค้าก่อนขอยื่นกู้ จากธนาคาร สวนทางกับตลาดหรือบางบริษัท ที่เปิดให้จองโดยยังไม่ได้สกรีนลูกค้าก่อน ปัญหาตอนนี้คือคนไทยมีปัญหาหนี้สูง รายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย ทิศทางดังกล่าวทำให้แสนสิริ พยายามที่ขยายพอร์ตสินค้าหันเพิ่มพอร์ตแนวราบในระดับราคาพรีเมียมมากขึ้นที่ไม่มีปัญหาเรื่องกำลังซื้อ"

     ภูมิภักดิ์ กล่าวต่อว่า สถานการณ์ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ดี ขณะที่ส่งออกหดตัว ตามดีมานด์ทั้งโลกยังคงชะลอตัว ดังนั้นในปีนี้ ผู้ประกอบการต้องระมัดระวังการบริหารกระแสเงินสด เร่งระบายสต็อก อย่าลงทุนเกินตัว แม้จะ มีลูกค้าต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย มากขึ้น แต่มีข้อจำกัดต่างๆ

     "ในความเห็นส่วนตัวมองว่า น่าเปิดให้ขยายการเช่าระยะยาวออกไปเหมือน ในต่างประเทศ เป็น 90-99 ปีจากเดิมจำกัด อยู่ที่ 30 ปี"

      ปี 2567 แสนสิริยังคงยึดเป้าหมายเดิมสร้างยอดขาย 52,000 ล้านบาท มีรายได้หรือยอดโอน 43,000 ล้านบาท เติบโต 10% จาก ปีที่ผ่านมา เป็นโครงการแนวราบ 70% อีก 30% จากคอนโดมิเนียม รวมทั้งขยายฐานลูกค้า ในต่างจังหวัดโดยเฉพาะหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่าง ภูเก็ต พัทยา และเชียงใหม่ หลังปัญหา ขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ทำให้เกิดความต้องการบ้านหลังที่ 2 ของลูกค้าต่างชาติมากขึ้น