เผยอสังหาฯในอีอีซีคึกคัก
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ผลการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขาย ในไตรมาส 3 ปี 66 ของพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) 3 จังหวัด ฉะเชิงเทรา ระยอง และชลบุรี พบว่ามีหน่วยขายได้ใหม่ 6,767 หน่วย เพิ่มขึ้น 0.4% มูลค่า 22,505 ล้านบาท แยกเป็นการขายอาคารชุด 2,431 หน่วย เพิ่มขึ้น 50.3% มีมูลค่า 8,678 ล้านบาท ซึ่งอาคารชุดเกือบทั้งหมดที่ขายได้ใหม่อยู่ในจังหวัดชลบุรีและเป็นโครงการที่เปิดตัวใหม่ในช่วงปี 66 ส่วนการขายบ้านจัดสรร 4,336 หน่วย ลดลง 15.4% มีมูลค่า 13,826 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมจำนวนหน่วยเหลือขาย บ้านจัดสรรและอาคารชุด ในพื้นที่อีอีซี ลดลง 4.4% เหลือ 51,550 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 173,628 ล้านบาท
"ภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยของอีอีซี 3 จังหวัด เปิดตัวโครงการใหม่ค่อนข้างคึกคักขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 และ 3 ปี 66 ประมาณครึ่งหนึ่งเป็นอาคารชุดที่ใน จ.ชลบุรี ซึ่งโครงการเหล่านี้ได้ดึงยอดขายในพื้นที่อีอีซีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มีข้อสังเกตว่า โครงการอาคารชุดที่ขายได้ดีมักจะเป็นโครงการใหม่ โครงการที่เปิดมาก่อนหน้านี้ ตลาดบ้านจัดสรร แม้มีหน่วยขายได้ใหม่มากกว่าหน่วยเปิดตัวใหม่ ยอดขาย 3 ไตรมาสต่ำกว่าปีก่อนทุกไตรมาส"
สำหรับภาพรวมจังหวัดชลบุรี มียอดขาย 3,842 หน่วย เพิ่มขึ้น 3.6% มูลค่า 14,175 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการอาคารชุด 2,129 หน่วย เพิ่มขึ้น 52.2% มูลค่ารวม 7,992 ล้านบาท บ้านจัดสรร 1,713 หน่วย ลดลง 25.8% มูลค่า 6,183 ล้านบาท โดยทำเลอาคารชุดที่ขายได้มาก เช่น จอมเทียน บางแสน หนองมน บางพระ พัทยา เขาพระตำหนัก ส่วนระยอง มีที่อยู่อาศัยรวมที่ขายได้ใหม่ 1,771 หน่วย ลดลง 17.8% มูลค่า 4,978 ล้านบาท ทำเลยอดนิยมได้แก่ มาบตาพุด จ.ฉะเชิงเทรา มียอดขายได้ใหม่ 1,154 หน่วย เพิ่มขึ้น 31.3% มูลค่า 3,351 ล้านบาท
ส่วนภาพรวมปี 67 คาดว่าสถานการณ์จะยังคงทรงตัวโดยจะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้ามาในตลาด 16,073 หน่วย มูลค่า 47,806 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 8,112 หน่วย มูลค่า 29,359 ล้านบาท อาคารชุด 7,961 หน่วย มูลค่า 18,447 ล้านบาท คาดจะมีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ 26,133 หน่วย มูลค่า 83,961 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 16,476 หน่วย มูลค่า 51,089 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 9,657 หน่วย มูลค่า 32,872 ล้านบาท อัตราการขายภาพรวมเพิ่มขึ้น 12.5% ส่งผลให้มีที่อยู่อาศัยคงค้าง 28,124 หน่วย มูลค่า 94,316 ล้านบาท