แลนด์แอนด์เฮ้าส์วางเป้าเปิด11โครงการ 30,200 ล้าน
Loading

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ วางเป้าเปิด11โครงการ 30,200 ล้าน

วันที่ : 17 มกราคม 2567
LH ระบุว่า ปี 2567 ปัจจัยที่จะส่งผลบวกต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ คือ อัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะมีการทยอยปรับลดในช่วงครึ่งหลังของปี และมาตรการของภาครัฐที่ขยายเวลาการลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนอง ออกไปอีก 1 ปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อคอนโดมิเนียมในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท
       บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ยักษ์ใหญ่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ของไทยประกาศแผนลงทุนโครงการใหม่ ในปี 2567 11โครงการ มูลค่า 30,200ล้านบาท ซึ่งลดลง 30% เมื่อเทียบกับปี2566 นายวัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการบ้านจัดสรรสะท้อนว่าเนื่องจากปีที่ผ่านมา ได้เปิดโครงการคอนโดมิเนียม วันเวลา ณ เจ้าพระยา ซึ่งมีมูลค่า 15,000 ล้านบาท หากเปรียบเทียบเฉพาะโครงการแนวราบ มูลค่าโครงการเปิดใหม่จะเติบโต 6% จากปี 2566  

        อย่างไรก็ตามโครงการใหม่เป็นโครงการแนวราบทั้งหมด ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 11 โครงการ ทาวน์เฮ้าส์ 1โครงการ โดยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 10 โครงการ และในต่างจังหวัด 1 โครงการ ดังนั้น จำนวนโครงการที่ดำเนินการในปี 2567 จะมีทั้งหมดประมาณ 84 โครงการ มูลค่า 98,550 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าแนวราบ 77 โครงการ มูลค่า 82,550 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่า 16,000 ล้านบาท ประมาณราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยในปี 2567 เท่ากับ 9.4 ล้านบาท (ปี 2566 ราคาเฉลี่ยต่อหน่วย 9.6 ล้านบาท)

         โดยผลการดำเนินงานของ บริษัทฯ ในปี 2566 บริษัทฯ เปิดโครงการใหม่ 17 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 43,460 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าแนวราบ 16 โครงการ และสินค้าคอนโดมิเนียม 1 โครงการ เพิ่มขึ้น 8,500 ล้านบาทเมื่อเทียบกับมูลค่าโครงการตามแผนเดิม 34,960 ล้านบาท เนื่องจากมีการเปิดโครงการวันเวลา ณ เจ้าพระยา มูลค่า 15,000 ล้านบาท แทนโครงการ The Key ศรีนครินทร์ ซึ่งมีมูลค่า 6,500 ล้านบาท บริษัทฯ มีการใช้เงินลงทุนซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ประมาณ 6,100 ล้านบาทสัดส่วนยอดขาย (Bookings) แบ่งตามประเภทสินค้า ในปี 2566 ของบริษัทฯ มีดังนี้

        สินค้าประเภทบ้านแนวราบ ซึ่งได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์ ยังคงเป็นสินค้าหลักที่สร้างยอดขายให้กับบริษัทฯ โดยสัดส่วนการขายของบ้านแนวราบและคอนโดมิเนียม คือ 73%:27% เมื่อจำแนกตามพื้นที่ กรุงเทพและปริมณฑลยังคงเป็นพื้นที่หลักในการก่อให้เกิดยอดขาย โดยสัดส่วนยอดขายของโครงการในกรุงเทพและปริมณฑลและยอดขายของโครงการในต่างจังหวัด คือ 90%:10% สัดส่วนระดับราคาของบ้านที่สูงกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป คิดเป็นประมาณ 57% ของยอดขาย

      ขณะตลาดคอนโดมิเนียม นายโชคชัย วลิตวรางค์กูร กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการอาคารชุด คาดการณ์ว่าตลาดจะดีขึ้นต่อเนื่องในปี 2567 บริษัทฯ พบว่ายังมีความต้องการซื้อสินค้าใน segment ระดับบน และในบางทำเล จึงได้ปรับแผนเปิดโครงการคอนโดมิเนียม โดยเปิดโครงการ วันเวลา ณ เจ้าพระยา เมื่อปลายเดือนตุลาคม แทนโครงการที่ศรีนครินทร์ ตามแผนเดิม เพื่อตอบสนองความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมริมน้ำ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี โดยสร้างยอดขายได้กว่า 5,000 ล้านบาท คิดเป็น 35% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท ทำให้ในปี 2566 บริษัทฯ มียอดขายจากสินค้าคอนโดมิเนียมกว่า 6,200 ล้านบาท เติบโต 176% จากปีก่อน คิดเป็น 27% ของยอดขายรวมทั้งหมดของบริษัทฯ

      ในปี 2567 ปัจจัยที่จะส่งผลบวกต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ คือ อัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะมีการทยอยปรับลดในช่วงครึ่งหลังของปี และมาตรการของภาครัฐที่ขยายเวลาการลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนอง ออกไปอีก 1 ปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อคอนโดมิเนียมในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีแบรนด์ The Key เป็นสินค้าคอนโดมิเนียมในระดับราคาดังกล่าว ซึ่งโครงการที่เปิดขายอยู่ในปัจจุบัน คือ The Key MRT เพชรเกษม 48 เป็นคอนโดมิเนียมทำเลติดรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน ปัจจุบันบริษัทฯ มีสินค้าคอนโดมิเนียมในมือพร้อมขาย ทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 16,000 ล้านบาท และจะเน้นการขายสินค้าคอนโด มิเนียมจากโครงการที่เปิดขายอยู่แล้วในปัจจุบัน จึงยังไม่มีแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายคอนโดมิเนียมไว้ที่ 5,500 ล้านบาท และยอดโอนที่ 2,000 ล้านบาท