S รับดีมานด์โรงแรมอู้ฟู่ ลุยงานอสังหาตุนพอร์ต
วันที่ : 29 พฤษภาคม 2566
S เผยว่า ในปี 2566 มีแผนเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบใหม่ จำนวน 5 โครงการ หรือคิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท
S โดดรับดีมานด์โรงแรมทะลัก-เร่งขยายพอร์ตอสังหาเติมแบ็กล็อก หนุนครึ่งหลังปี 2566 ฟอร์มแจ่ม พร้อมปักเป้าปี 2566 รายได้ โต 30% จากปีก่อน พอร์ตธุรกิจทุกไลน์โตต่อเนื่อง แถมมองนโยบายค่าแรงว่าที่รัฐบาลใหม่กระทบน้อย เหตุพนักงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานมีทักษะสูงค่าจ้างเกินแล้ว
นายชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผยว่า บริษัทคาดแนวโน้มผลประกอบการในครึ่งหลังปี 2566 น่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับครึ่งแรกปีเดียวกัน เนื่องจากเป็นทิศทางการเข้าพักในกลุ่มธุรกิจโรงแรมขยายตัวค่อนข้างมาก ประกอบกับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตต่อเนื่อง
เป้ารายได้ปีนี้โต 30%
สำหรับทิศทางปี 2566 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 30% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีรายได้ราว 1.25 หมื่นล้านบาท เนื่องจากรายได้โดยเฉพาะในกลุ่มโรงแรมเติบโตอย่างโดดเด่น โดยคาดจะมีรายได้กลุ่มนี้สูงถึง 1 หมื่นล้านบาท นอกเหนือจาก ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเป็นที่อยู่อาศัยและอื่นๆ ที่ล้วนปรับตัวดีขึ้นด้วย
โดยกลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ "เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท" หรือ SHR จะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่โดดเด่นอย่างชัดเจนในปีนี้ โดยโรงแรมในเครือที่ประเทศไทยทั้ง 4 แห่ง จะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ คาดรายได้เติบโตถึง 60% จากปีก่อน หน้า ในขณะที่รายได้จากโรงแรมในมัลดีฟส์จะเติบโตขึ้น 30% หนุนรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตขึ้นกว่า 20%
จ่อเปิดโครงการใหม่
ด้านกลุ่มของที่พักอาศัยนั้นปัจจุบันบริษัทมียอดขายที่รอโอน (Backlog) ในกลุ่มธุรกิจที่อยู่อาศัย คิดเป็นมูลค่าราว 1.9 พันล้านบาท โดยคาดน่าจะสามารถดำเนินการส่งมอบและรับรู้รายได้ต่อเนื่องไปจนถึงช่วงปี 2567 รวมทั้งบริษัทมีแนวทางพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ในปี 2566 มีแผนเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบใหม่ จำนวน 5 โครงการ หรือคิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย บ้านเดี่ยวระดับราคา 15-30 ล้านบาท และระดับราคา 30-50 ล้านบาท Cluster Home ระดับราคาตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป พร้อม Flagship Cluster Home Project ซึ่งมีระดับราคาเริ่มต้นสูงถึง 550 ล้านบาทต่อหลัง เพื่อสร้างยอดขายและรายรับเพิ่มเติมในอนาคต
ขณะที่กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้ามีสัญญาณการฟื้นตัวดีอย่างต่อเนื่องด้วยกลยุทธ์โมเดลธุรกิจ Right sizing ซึ่งนำเสนอขนาดพื้นที่ให้เช่าที่หลากหลาย ควบคู่กับโมเดลธุรกิจ Ready-to-move หรือการจัดสรรพื้นที่ให้เช่าพร้อมใช้งาน โดยปี 2566 ตั้งเป้าผลประกอบการเพิ่มขึ้น 20% ด้วยอัตราการเช่าพื้นที่สูงกว่า 90% ใน ทุกโครงการ ทั้งสิงห์ คอมเพล็กซ์ ซันทาวเวอร์ส และ เอส เมโทร
รวมถึงโครงการอาคารสำนักงานล่าสุดอย่าง เอส โอเอซิส บนถนนวิภาวดีรังสิต บริเวณห้าแยกลาดพร้าว ศูนย์กลางธุรกิจที่เปี่ยมศักยภาพแห่งใหม่ พร้อมเซ็นสัญญาผู้เช่ารายใหญ่ในไตรมาส 2/2566 เพื่อสนับสนุนภาพรวมธุรกิจให้ขยายตัวต่อเนื่อง
ค่าแรงใหม่กระทบน้อย
นายชัยรัตน์ กล่าวเสริมว่า สำหรับเรื่องการปรับอัตราค่าจ้างของว่าที่รัฐบาลใหม่เป็น 450 บาทต่อวันนั้น บริษัทประเมินว่าไม่น่ามีผลกระทบต่อการดำเนินงานมากนัก เนื่องจากปัจจุบันพนักงานส่วนใหญ่ได้มีการพัฒนาทักษะให้สูงกว่าแรงงานปกติทั่วไป ส่งผลให้อัตราค่าจ้างอยู่ในระดับที่เกินเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว ประกอบกับบริษัทได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจ้างพนักงานในส่วนของแรงงานเพิ่มเติม เป็นการว่าจ้างจากองค์กรภายนอก (เอาต์ซอร์ส) เพื่อบริหารจัดการต้นทุนในส่วนนี้ให้ดี ยิ่งขึ้นด้วย
นายชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผยว่า บริษัทคาดแนวโน้มผลประกอบการในครึ่งหลังปี 2566 น่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับครึ่งแรกปีเดียวกัน เนื่องจากเป็นทิศทางการเข้าพักในกลุ่มธุรกิจโรงแรมขยายตัวค่อนข้างมาก ประกอบกับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตต่อเนื่อง
เป้ารายได้ปีนี้โต 30%
สำหรับทิศทางปี 2566 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 30% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีรายได้ราว 1.25 หมื่นล้านบาท เนื่องจากรายได้โดยเฉพาะในกลุ่มโรงแรมเติบโตอย่างโดดเด่น โดยคาดจะมีรายได้กลุ่มนี้สูงถึง 1 หมื่นล้านบาท นอกเหนือจาก ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเป็นที่อยู่อาศัยและอื่นๆ ที่ล้วนปรับตัวดีขึ้นด้วย
โดยกลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ "เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท" หรือ SHR จะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่โดดเด่นอย่างชัดเจนในปีนี้ โดยโรงแรมในเครือที่ประเทศไทยทั้ง 4 แห่ง จะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ คาดรายได้เติบโตถึง 60% จากปีก่อน หน้า ในขณะที่รายได้จากโรงแรมในมัลดีฟส์จะเติบโตขึ้น 30% หนุนรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตขึ้นกว่า 20%
จ่อเปิดโครงการใหม่
ด้านกลุ่มของที่พักอาศัยนั้นปัจจุบันบริษัทมียอดขายที่รอโอน (Backlog) ในกลุ่มธุรกิจที่อยู่อาศัย คิดเป็นมูลค่าราว 1.9 พันล้านบาท โดยคาดน่าจะสามารถดำเนินการส่งมอบและรับรู้รายได้ต่อเนื่องไปจนถึงช่วงปี 2567 รวมทั้งบริษัทมีแนวทางพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ในปี 2566 มีแผนเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบใหม่ จำนวน 5 โครงการ หรือคิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย บ้านเดี่ยวระดับราคา 15-30 ล้านบาท และระดับราคา 30-50 ล้านบาท Cluster Home ระดับราคาตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป พร้อม Flagship Cluster Home Project ซึ่งมีระดับราคาเริ่มต้นสูงถึง 550 ล้านบาทต่อหลัง เพื่อสร้างยอดขายและรายรับเพิ่มเติมในอนาคต
ขณะที่กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้ามีสัญญาณการฟื้นตัวดีอย่างต่อเนื่องด้วยกลยุทธ์โมเดลธุรกิจ Right sizing ซึ่งนำเสนอขนาดพื้นที่ให้เช่าที่หลากหลาย ควบคู่กับโมเดลธุรกิจ Ready-to-move หรือการจัดสรรพื้นที่ให้เช่าพร้อมใช้งาน โดยปี 2566 ตั้งเป้าผลประกอบการเพิ่มขึ้น 20% ด้วยอัตราการเช่าพื้นที่สูงกว่า 90% ใน ทุกโครงการ ทั้งสิงห์ คอมเพล็กซ์ ซันทาวเวอร์ส และ เอส เมโทร
รวมถึงโครงการอาคารสำนักงานล่าสุดอย่าง เอส โอเอซิส บนถนนวิภาวดีรังสิต บริเวณห้าแยกลาดพร้าว ศูนย์กลางธุรกิจที่เปี่ยมศักยภาพแห่งใหม่ พร้อมเซ็นสัญญาผู้เช่ารายใหญ่ในไตรมาส 2/2566 เพื่อสนับสนุนภาพรวมธุรกิจให้ขยายตัวต่อเนื่อง
ค่าแรงใหม่กระทบน้อย
นายชัยรัตน์ กล่าวเสริมว่า สำหรับเรื่องการปรับอัตราค่าจ้างของว่าที่รัฐบาลใหม่เป็น 450 บาทต่อวันนั้น บริษัทประเมินว่าไม่น่ามีผลกระทบต่อการดำเนินงานมากนัก เนื่องจากปัจจุบันพนักงานส่วนใหญ่ได้มีการพัฒนาทักษะให้สูงกว่าแรงงานปกติทั่วไป ส่งผลให้อัตราค่าจ้างอยู่ในระดับที่เกินเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว ประกอบกับบริษัทได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจ้างพนักงานในส่วนของแรงงานเพิ่มเติม เป็นการว่าจ้างจากองค์กรภายนอก (เอาต์ซอร์ส) เพื่อบริหารจัดการต้นทุนในส่วนนี้ให้ดี ยิ่งขึ้นด้วย
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ