นิคมฯลุยฝ่าวิกฤติ โควิด มั่นใจยอดขายฟื้นปลายปี
วันที่ : 3 เมษายน 2563
นิคมฯ มั่นใจ สถานการณ์ ครึ่งปีหลัง ฟื้นตัว
วัชร ปุษยะนาวิน
กรุงเทพธุรกิจ
การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โรคโควิด-19) ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการ ทุกธุรกิจต้องปรับแผนการดำเนินงานใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาด ในขณะที่ผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรม ยังมีความมั่นใจว่าเมื่อการระบาดยุติลงจะสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการลงทุนภายในนิคมอุตสาหกรรมที่กระจายตัวมาใน ภาคกลางตอนล่างและภาคตะวันออก
สุรัช พัฒนวงศ์ยืนยง ประธาน ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ในช่วงที่มีการแพร่ระบาด ของโรคโควิด-19 ทำให้นักลงทุนโดยเฉพาะจากจีนไม่สามารถเดินทางมาเจรจาซื้อขายที่ดิน ในนิคมอุตสาหกรรมได้ ทำให้ต้องเลื่อน การลงนามสัญญาไปในช่วงเดือน พ.ค.นี้หมด หรือจนกว่ารัฐบาลไทยจะยกเลิกมาตรการห้ามชาวต่างชาติเข้าประเทศ แต่ในระหว่างนี้ ก็ได้มีการประสานงานกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด โดยตลอด
ดังนั้น ปิ่นทอง จึงมั่นใจว่าหลังสถานการณ์โรคโควิด-19 สงบ นักลงทุนก็จะเร่งกลับ เข้ามาซื้อที่ดินลงทุนตามเป้าหมายที่ได้ ตั้งไว้ เพื่อไม่ให้แผนการธุรกิจสะดุด ทำให้ยังไม่ปรับเป้าหมายการดำเนินงาน ในปีนี้ โดยจะมียอดขายที่ดินใน นิคมฯ ปิ่นทองทุกแห่ง 350 ไร่ มีมูลค่าประมาณ 1.2-1.4 พันล้านบาท ในจำนวนนี้ จะเป็นนักลงทุนจากประเทศจีน 60% ที่เหลืออีก 40% จะมาจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และยุโรป
ทั้งนี้ การลงทุนจากจีน และญี่ปุ่นจะไม่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 จะกลับมาในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า เพราะโรงงานเหล่านี้ต้องการเข้ามาขยายตลาด ในภูมิภาคอาเซียน จึงต้องเร่งเข้ามาตั้งฐานการผลิตในภูมิภาคนี้ ซึ่งศักยภาพ การดึงดูดการลงทุนของประเทศไทย ก็เป็นอันดับต้นๆ ของอาเซียนที่แข่งขัน กับระหว่างไทยกับเวียดนาม ซึ่งโดยรวมแล้วไทยยังมีความได้เปรียบในหลายด้าน เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน มาตรการ ส่งเสริมการลงทุน อุตสาหกรรมสนับสนุน เป็นต้น
ในขณะที่ประเทศเวียดนามมีข้อได้เปรียบ ที่สำคัญในเรื่องของต้นทุนค่าแรงงาน และสิทธิประโยชน์จากข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่ประเทศเวียดนามได้ลงนามไปหลายประเทศมากกว่าประเทศไทย
"ตามภาวะวัฏจักรของระบบ เศรษฐกิจ เมืองตกต่ำไปจนถึงขีดสุดแล้ว จะดีดกลับขึ้นมาใหม่ ลูกค้าต่างก็ได้วางแผนการลงทุนมาเป็นปี ทำให้คาดว่าหลัง โควิดสงบการลงทุนจะพลิกกลับขึ้นมาเร็ว ทำให้บริษัทฯ ยังคงมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย และแม้ว่าจะได้รับผลกระทบ ก็จะไม่ต่ำกว่า 85-90% ของเป้าหมาย ลูกค้าบางรายอาจจะเลื่อนไปเซ็นสัญญา ในปีหน้า เพราะอาจจะเดินทางไปมาไม่สะดวก ซึ่งมองว่าปัญหาโควิด-19 จะไม่กระทบต่อภาคการลงทุนภาคอุตสาหกรรมมากนัก"
นอกจากนี้ ปิ่นทอง ยังมีข้อได้เปรียบหลายด้านในการแข่งขันกับผู้ประกอบการ นิคมอุตสาหกรรมรายอื่น เช่น ทำเลที่ตั้ง ของนิคมฯ ใกล้ท่าเรือ และสนามบิน สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีการบริการที่ดี และ ที่สำคัญนิคมฯปิ่นทองทั้ง 5 โครงการ อยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่ได้รับสิทธิประโยชน์การลงทุนสูงกว่า พื้นที่อื่น
ส่วนของการลงทุน ยังคงเดินหน้า ศึกษาโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า กำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในพื้นที่นิคมฯปิ่นทอง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี มีมูลค่าลงทุนประมาณ 4 พันล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ ในอีก 2 ปีข้างหน้า
ด้านผลกระทบจากโควิด-19 ที่ส่งผล ให้โรงงานต้องหยุดดำเนินการชั่วคราวนั้น ขณะนี้มีไม่มาก มีเพียงค่ายรถยนต์บางรายที่หยุดผลิต ทำให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์บางส่วน ต้องหยุดดำเนินการ แต่ในนิคมฯปิ่นทอง มีกรณีแบบนี้ไม่มากนัก โรงงานส่วนใหญ่ยังคงดำเนินงานตามปกติ
รวมทั้งมีกฎระเบียบที่เข้มงวด ในการป้องกันการแพร่ระบาด เช่น ให้พนักงานบางส่วนที่ไม่อยู่ในสายการผลิตทำงานที่บ้าน เว้นระยะห่างระหว่างคนงาน ตามมาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนด ตรวจอุณหภูมิคนงานก่อนเข้าเขตของ โรงงาน หากมีไข้ก็ไม่ให้เข้าโรงงาน และ จากตัวเลขล่าสุดในนิคมฯปิ่นทองยังไม่มี ผู้ติดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดับบลิวเอชเอ กล่าวว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ ภายหลังจากที่ ประเทศจีนควบคุมการแพร่ระบาดได้ และ มีวิธีการจัดการที่เด็ดขาดจนการแพร่ระบาด ที่มณฑลเหอเป่ยจบลงภายใน 2 เดือน ทำให้คลายความกังวลใจไปได้มาก เพราะนักลงทุนจีน เป็นกลุ่มที่สำคัญที่จะเข้ามาลงทุนในอีอีซี และเป็นเครื่องจักรที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก
"การที่จีนฟื้นตัวจากโควิด-19 ทำให้คลายความกังวลใจ แต่หากจีนยังคุมไม่ได้ จะเครียดกว่านี้มาก โดยในขณะนี้ โครงการลงทุนของจีนใน อีอีซี ยังมีการลงนาม ในสัญญาอยู่บ้าง ในช่วงที่จีนปิดเมือง การโอนเงินและการทำธุรกรรมต่างๆ ได้ลำบาก แต่ในขณะนี้เริ่มโอนเงินมาไทยได้บ้างแล้ว และฐานการผลิตในมณฑลเหอเป่ย ก็กลับมา ผลิตได้กว่า 70% แล้วทำให้สถานการณ์ขาดแคลนวัตถุดิบคลี่คลายไป"
นอกจากนี้ ดับบลิวเอชเอ ขอติดตาม สถานการณ์อีก 2-3 เดือน ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยและการระบาดทั้งโลก จะเป็นอย่างไร ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะปรับเป้าหมายรายได้ของบริษัทฯ ในปีนี้หรือไม่ โดยถ้าหากรัฐบาลไม่สามารถควบคุม การแพร่ระบาดได้ก็คงต้องปรับเป้าหมายลง แต่ทั้งนี้ยังมองว่าสถานการณ์ในครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้น
กรุงเทพธุรกิจ
การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โรคโควิด-19) ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการ ทุกธุรกิจต้องปรับแผนการดำเนินงานใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาด ในขณะที่ผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรม ยังมีความมั่นใจว่าเมื่อการระบาดยุติลงจะสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการลงทุนภายในนิคมอุตสาหกรรมที่กระจายตัวมาใน ภาคกลางตอนล่างและภาคตะวันออก
สุรัช พัฒนวงศ์ยืนยง ประธาน ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ในช่วงที่มีการแพร่ระบาด ของโรคโควิด-19 ทำให้นักลงทุนโดยเฉพาะจากจีนไม่สามารถเดินทางมาเจรจาซื้อขายที่ดิน ในนิคมอุตสาหกรรมได้ ทำให้ต้องเลื่อน การลงนามสัญญาไปในช่วงเดือน พ.ค.นี้หมด หรือจนกว่ารัฐบาลไทยจะยกเลิกมาตรการห้ามชาวต่างชาติเข้าประเทศ แต่ในระหว่างนี้ ก็ได้มีการประสานงานกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด โดยตลอด
ดังนั้น ปิ่นทอง จึงมั่นใจว่าหลังสถานการณ์โรคโควิด-19 สงบ นักลงทุนก็จะเร่งกลับ เข้ามาซื้อที่ดินลงทุนตามเป้าหมายที่ได้ ตั้งไว้ เพื่อไม่ให้แผนการธุรกิจสะดุด ทำให้ยังไม่ปรับเป้าหมายการดำเนินงาน ในปีนี้ โดยจะมียอดขายที่ดินใน นิคมฯ ปิ่นทองทุกแห่ง 350 ไร่ มีมูลค่าประมาณ 1.2-1.4 พันล้านบาท ในจำนวนนี้ จะเป็นนักลงทุนจากประเทศจีน 60% ที่เหลืออีก 40% จะมาจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และยุโรป
ทั้งนี้ การลงทุนจากจีน และญี่ปุ่นจะไม่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 จะกลับมาในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า เพราะโรงงานเหล่านี้ต้องการเข้ามาขยายตลาด ในภูมิภาคอาเซียน จึงต้องเร่งเข้ามาตั้งฐานการผลิตในภูมิภาคนี้ ซึ่งศักยภาพ การดึงดูดการลงทุนของประเทศไทย ก็เป็นอันดับต้นๆ ของอาเซียนที่แข่งขัน กับระหว่างไทยกับเวียดนาม ซึ่งโดยรวมแล้วไทยยังมีความได้เปรียบในหลายด้าน เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน มาตรการ ส่งเสริมการลงทุน อุตสาหกรรมสนับสนุน เป็นต้น
ในขณะที่ประเทศเวียดนามมีข้อได้เปรียบ ที่สำคัญในเรื่องของต้นทุนค่าแรงงาน และสิทธิประโยชน์จากข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่ประเทศเวียดนามได้ลงนามไปหลายประเทศมากกว่าประเทศไทย
"ตามภาวะวัฏจักรของระบบ เศรษฐกิจ เมืองตกต่ำไปจนถึงขีดสุดแล้ว จะดีดกลับขึ้นมาใหม่ ลูกค้าต่างก็ได้วางแผนการลงทุนมาเป็นปี ทำให้คาดว่าหลัง โควิดสงบการลงทุนจะพลิกกลับขึ้นมาเร็ว ทำให้บริษัทฯ ยังคงมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย และแม้ว่าจะได้รับผลกระทบ ก็จะไม่ต่ำกว่า 85-90% ของเป้าหมาย ลูกค้าบางรายอาจจะเลื่อนไปเซ็นสัญญา ในปีหน้า เพราะอาจจะเดินทางไปมาไม่สะดวก ซึ่งมองว่าปัญหาโควิด-19 จะไม่กระทบต่อภาคการลงทุนภาคอุตสาหกรรมมากนัก"
นอกจากนี้ ปิ่นทอง ยังมีข้อได้เปรียบหลายด้านในการแข่งขันกับผู้ประกอบการ นิคมอุตสาหกรรมรายอื่น เช่น ทำเลที่ตั้ง ของนิคมฯ ใกล้ท่าเรือ และสนามบิน สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีการบริการที่ดี และ ที่สำคัญนิคมฯปิ่นทองทั้ง 5 โครงการ อยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่ได้รับสิทธิประโยชน์การลงทุนสูงกว่า พื้นที่อื่น
ส่วนของการลงทุน ยังคงเดินหน้า ศึกษาโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า กำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในพื้นที่นิคมฯปิ่นทอง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี มีมูลค่าลงทุนประมาณ 4 พันล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ ในอีก 2 ปีข้างหน้า
ด้านผลกระทบจากโควิด-19 ที่ส่งผล ให้โรงงานต้องหยุดดำเนินการชั่วคราวนั้น ขณะนี้มีไม่มาก มีเพียงค่ายรถยนต์บางรายที่หยุดผลิต ทำให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์บางส่วน ต้องหยุดดำเนินการ แต่ในนิคมฯปิ่นทอง มีกรณีแบบนี้ไม่มากนัก โรงงานส่วนใหญ่ยังคงดำเนินงานตามปกติ
รวมทั้งมีกฎระเบียบที่เข้มงวด ในการป้องกันการแพร่ระบาด เช่น ให้พนักงานบางส่วนที่ไม่อยู่ในสายการผลิตทำงานที่บ้าน เว้นระยะห่างระหว่างคนงาน ตามมาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนด ตรวจอุณหภูมิคนงานก่อนเข้าเขตของ โรงงาน หากมีไข้ก็ไม่ให้เข้าโรงงาน และ จากตัวเลขล่าสุดในนิคมฯปิ่นทองยังไม่มี ผู้ติดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดับบลิวเอชเอ กล่าวว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ ภายหลังจากที่ ประเทศจีนควบคุมการแพร่ระบาดได้ และ มีวิธีการจัดการที่เด็ดขาดจนการแพร่ระบาด ที่มณฑลเหอเป่ยจบลงภายใน 2 เดือน ทำให้คลายความกังวลใจไปได้มาก เพราะนักลงทุนจีน เป็นกลุ่มที่สำคัญที่จะเข้ามาลงทุนในอีอีซี และเป็นเครื่องจักรที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก
"การที่จีนฟื้นตัวจากโควิด-19 ทำให้คลายความกังวลใจ แต่หากจีนยังคุมไม่ได้ จะเครียดกว่านี้มาก โดยในขณะนี้ โครงการลงทุนของจีนใน อีอีซี ยังมีการลงนาม ในสัญญาอยู่บ้าง ในช่วงที่จีนปิดเมือง การโอนเงินและการทำธุรกรรมต่างๆ ได้ลำบาก แต่ในขณะนี้เริ่มโอนเงินมาไทยได้บ้างแล้ว และฐานการผลิตในมณฑลเหอเป่ย ก็กลับมา ผลิตได้กว่า 70% แล้วทำให้สถานการณ์ขาดแคลนวัตถุดิบคลี่คลายไป"
นอกจากนี้ ดับบลิวเอชเอ ขอติดตาม สถานการณ์อีก 2-3 เดือน ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยและการระบาดทั้งโลก จะเป็นอย่างไร ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะปรับเป้าหมายรายได้ของบริษัทฯ ในปีนี้หรือไม่ โดยถ้าหากรัฐบาลไม่สามารถควบคุม การแพร่ระบาดได้ก็คงต้องปรับเป้าหมายลง แต่ทั้งนี้ยังมองว่าสถานการณ์ในครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้น
ข่าวอสังหาริมทรัพย์ภูมิภาค อื่นๆ