นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.ได้เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. 2560 โดยกำหนดให้โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี และได้ลงนามกับภาคเอกชนแล้วต้องมีคณะกรรมการกำกับสัญญาเพื่อควบคุมให้โครงการต่าง ๆ สามารถทำได้ด้วยความเรียบร้อย

          ทั้งนี้บางโครงการที่ภาครัฐและภาคเอกชนของไทยยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการร่วมลงทุนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน จึงจำเป็นต้องว่าจ้างที่ปรึกษาจากต่างประเทศ ซึ่งที่ปรึกษาจากต่างประเทศสามารถเข้ามาร่วมงานกับที่ปรึกษาไทยในลักษณะบริษัทร่วมทุน เพื่อทำงานร่วมกันในการควบคุมดูแลโครงการโครงสร้างพื้นฐานในอีอีซี ซึ่งรูปแบบของคณะกรรมการกำกับสัญญาและกรรมการบริหารสัญญา ที่จะจัดตั้งขึ้นเป็นรูปแบบที่นำไปใช้กับทุกโครงการ แต่องค์ประกอบของคณะกรรมการมีความแตกต่างกันตามหน่วยงานเจ้าของโครงการและบริษัทที่ปรึกษาเอกชนที่เข้ามาทำงาน

          "การกำกับดูแลโครงการ และบริหารสัญญาของบริษัทที่ปรึกษา ซึ่งเปิดคัดเลือกหลังจากที่เริ่มมีการก่อสร้างโครงการต่าง ๆ บางโครงการจำเป็นต้องใช้ที่ปรึกษาต่างชาติ เนื่องจากบางโครงการไม่เคยทำในไทยมาก่อน แต่สิ่งที่อยากเห็น คือ การจับมือเข้ามาร่วมกันระหว่างบริษัทต่างชาติกับบริษัทในไทยเป็นลักษณะบริษัทร่วมทุน เพราะเนื้องานแต่ละโครงการจะมีทั้งส่วนของความเชี่ยวชาญ เรื่องเทคโนโลยี และการสำรวจพื้นที่ การส่งมอบพื้นที่ในประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาในขั้นตอนการคัดเลือกเอกชน ก็มีการใช้ที่ปรึกษาจากต่างประเทศเข้ามาช่วยในเรื่องการคัดเลือกเช่นกัน"

          สำหรับรายละเอียดของการปรับปรุงประกาศดังกล่าวในหมวด 3 การกำกับดูแลและติดตามผลในโครงการอีอีซี ประกอบไปด้วยการปรับปรุงข้อความในวรรคท้ายของข้อ 20 จากเดิม กำหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการอาจว่าจ้างที่ปรึกษาไทยหรือที่ปรึกษาต่างประเทศซึ่งมีคุณสมบัติ ตามที่สำนักงานประกาศกำหนด เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับดูแลได้เป็นสำนักงานหรือหน่วยงานเจ้าของโครงการอาจว่าจ้างที่ปรึกษาไทย หรือที่ปรึกษาต่างประเทศ ซึ่งมีคุณสมบัติตามที่สำนักงานประกาศกำหนด