คณิศ มั่นใจ5บิ๊กโปรเจกต์ อีอีซี เดินตามเป้าดันศก.ไทยโตปีละ5%
วันที่ : 26 กุมภาพันธ์ 2562
"คณิศ" มั่นใจลงทุน 5 โครงสร้างพื้นฐานหลักในอีอีซีจะได้ผู้ชนะประมูลครบทุกโครงการภายใน มี.ค.-เม.ย.นี้รับช้าไป 2 เดือนแต่ทุกอย่างยังเดินตามเป้าหมาย เร่งเครื่องวางแผนพัฒนามหานครการบินภาค ตะวันออกรอบสนามบินอู่ตะเภา มั่นใจ 5 ปีก่อให้เกิดการลงทุนรวม 1.5-1.7 ล้านล้านบาทดัน ศก.ไทยโต 5%
"คณิศ" มั่นใจลงทุน 5 โครงสร้างพื้นฐานหลักในอีอีซีจะได้ผู้ชนะประมูลครบทุกโครงการภายใน มี.ค.-เม.ย.นี้รับช้าไป 2 เดือนแต่ทุกอย่างยังเดินตามเป้าหมาย เร่งเครื่องวางแผนพัฒนามหานครการบินภาค ตะวันออกรอบสนามบินอู่ตะเภา มั่นใจ 5 ปีก่อให้เกิดการลงทุนรวม 1.5-1.7 ล้านล้านบาทดัน ศก.ไทยโต 5%
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยหลังการนำเสนอข้อมูล "โครงการศึกษาแนวทางการพัฒนามหานครการบินภาคตะวันออกรอบสนามบินอู่ตะเภา" ซึ่งครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานทั้งท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือมาบตาพุด และท่าเรือสัตหีบ พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็น นักลงทุนเอกชนเป้าหมายว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอีอีซี 5 โครงการหลักได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน สนามบินอู่ตะเภา ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 จะได้ผู้ชนะประมูลได้ครบทั้งหมดภายใน มี.ค.เม.ย.นี้และจะก่อให้เกิดการลงทุนในระยะ 5 ปีรวมประมาณ 1.5-1.7 ล้านล้านบาทซึ่งจะสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตปีละ 5%
"เราเองก็พยายามจะเร่งให้เร็วแต่ก็ยอมรับว่าช้ากว่าที่คิดไว้ 2 เดือนแต่ก็ถือว่าได้เดินตามเป้าหมายแล้วซึ่ง จะเห็นว่าในอดีตที่ผ่านมาการลงทุนจากภาคเอกชนติดลบมากแต่เมื่อไตรมาสสี่ปีที่แล้วการลงทุนเอกชนได้เติบโต 4-5% จึงมีผลให้เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวระดับ 4.1% และเมื่อมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ในอีอีซีคาดว่าจะทำให้เกิดการลงทุนเฉลี่ย 3 แสนล้านบาทต่อปีก็จะทำให้การลงทุนของเอกชนมีโอกาสเติบโตได้ระดับ 10% ในอีก 5 ปีข้างหน้าโดย 5 ปีแรกจะว่าด้วยลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 5 ปีหลังเป็นเรื่องการพัฒนาเมือง" นายคณิศกล่าว
ทั้งนี้ การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาจะพัฒนาให้เป็นเมืองการบินในระยะ 5 ปีและระยะ 10 ปีจะเป็นมหานคร การบินภาคตะวันออกซึ่งจะเป็นรูปแบบใหม่ของการพัฒนาเมืองของประเทศไทยที่จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาในพื้นที่อีอีซี ให้ประสบผลสำเร็จ โดยมีผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจให้กับพื้นที่ภาคตะวันออกและประเทศไทยโดยรวม
ส่งเสริมภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการของประชาชนในพื้นที่ (MICE) เกิดต้นแบบการพัฒนาเมืองการบินที่มีแบบแผน ทิศทางที่ชัดเจนและเป็นระบบเพื่อต้นแบบประเทศในการพัฒนาต่อไป เกิดความต้องการบุคลากรในสายงานหลายด้านสร้างอาชีพ รายได้ดีใหม่ ลดปัญหาการว่างงาน มีโครงสร้างที่เชื่อมโยงกันแบบไร้รอยต่อ ทำให้เกิดจุดแข็งที่โดดเด่น ลดข้อจำกัดด้านเวลาและต้นทุนธุรกิจ เพิ่มรายได้และจีดีพีกับพื้นที่ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวโดยไม่กระจุกอยู่เฉพาะกรุงเทพมหานคร เป็นต้น
"เราจะพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ไม่ให้เกิดปัญหาแออัดในอนาคตโดยจะแบ่งเขตการพัฒนาแต่ละพื้นที่ โดยในช่วง 10 ปีนับจากนี้ไป แบ่งเป็นชั้นใน 10 กิโล เมตรรอบๆ สนามบินอู่ตะเภา และเขต ชั้นกลาง 30 กิโลเมตรจากสนามบิน สามารถเดินทางโดยรถไฟความเร็วสูง ภายในเวลา 17-19 นาที และทางถนนไม่เกิน 40 นาที และเขตชั้นนอก 60 กิโลเมตรจากสนามบิน กำหนดกรอบเวลาในการพัฒนาประมาณ 5-15 ปี นับจากโครงการสนามบินอู่ตะเภาและรถไฟความเร็วสูงเสร็จ" นายคณิศกล่าว
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยหลังการนำเสนอข้อมูล "โครงการศึกษาแนวทางการพัฒนามหานครการบินภาคตะวันออกรอบสนามบินอู่ตะเภา" ซึ่งครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานทั้งท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือมาบตาพุด และท่าเรือสัตหีบ พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็น นักลงทุนเอกชนเป้าหมายว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอีอีซี 5 โครงการหลักได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน สนามบินอู่ตะเภา ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 จะได้ผู้ชนะประมูลได้ครบทั้งหมดภายใน มี.ค.เม.ย.นี้และจะก่อให้เกิดการลงทุนในระยะ 5 ปีรวมประมาณ 1.5-1.7 ล้านล้านบาทซึ่งจะสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตปีละ 5%
"เราเองก็พยายามจะเร่งให้เร็วแต่ก็ยอมรับว่าช้ากว่าที่คิดไว้ 2 เดือนแต่ก็ถือว่าได้เดินตามเป้าหมายแล้วซึ่ง จะเห็นว่าในอดีตที่ผ่านมาการลงทุนจากภาคเอกชนติดลบมากแต่เมื่อไตรมาสสี่ปีที่แล้วการลงทุนเอกชนได้เติบโต 4-5% จึงมีผลให้เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวระดับ 4.1% และเมื่อมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ในอีอีซีคาดว่าจะทำให้เกิดการลงทุนเฉลี่ย 3 แสนล้านบาทต่อปีก็จะทำให้การลงทุนของเอกชนมีโอกาสเติบโตได้ระดับ 10% ในอีก 5 ปีข้างหน้าโดย 5 ปีแรกจะว่าด้วยลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 5 ปีหลังเป็นเรื่องการพัฒนาเมือง" นายคณิศกล่าว
ทั้งนี้ การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาจะพัฒนาให้เป็นเมืองการบินในระยะ 5 ปีและระยะ 10 ปีจะเป็นมหานคร การบินภาคตะวันออกซึ่งจะเป็นรูปแบบใหม่ของการพัฒนาเมืองของประเทศไทยที่จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาในพื้นที่อีอีซี ให้ประสบผลสำเร็จ โดยมีผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจให้กับพื้นที่ภาคตะวันออกและประเทศไทยโดยรวม
ส่งเสริมภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการของประชาชนในพื้นที่ (MICE) เกิดต้นแบบการพัฒนาเมืองการบินที่มีแบบแผน ทิศทางที่ชัดเจนและเป็นระบบเพื่อต้นแบบประเทศในการพัฒนาต่อไป เกิดความต้องการบุคลากรในสายงานหลายด้านสร้างอาชีพ รายได้ดีใหม่ ลดปัญหาการว่างงาน มีโครงสร้างที่เชื่อมโยงกันแบบไร้รอยต่อ ทำให้เกิดจุดแข็งที่โดดเด่น ลดข้อจำกัดด้านเวลาและต้นทุนธุรกิจ เพิ่มรายได้และจีดีพีกับพื้นที่ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวโดยไม่กระจุกอยู่เฉพาะกรุงเทพมหานคร เป็นต้น
"เราจะพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ไม่ให้เกิดปัญหาแออัดในอนาคตโดยจะแบ่งเขตการพัฒนาแต่ละพื้นที่ โดยในช่วง 10 ปีนับจากนี้ไป แบ่งเป็นชั้นใน 10 กิโล เมตรรอบๆ สนามบินอู่ตะเภา และเขต ชั้นกลาง 30 กิโลเมตรจากสนามบิน สามารถเดินทางโดยรถไฟความเร็วสูง ภายในเวลา 17-19 นาที และทางถนนไม่เกิน 40 นาที และเขตชั้นนอก 60 กิโลเมตรจากสนามบิน กำหนดกรอบเวลาในการพัฒนาประมาณ 5-15 ปี นับจากโครงการสนามบินอู่ตะเภาและรถไฟความเร็วสูงเสร็จ" นายคณิศกล่าว
ข่าวเขตเศรษฐกิจพิเศษ อื่นๆ