อสังหาฯทรุดหนักติดลบ13%
Loading

อสังหาฯทรุดหนักติดลบ13%

วันที่ : 17 สิงหาคม 2564
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ชี้ การเเพร่ระบาดของโควิด ทำอสังหาฯ ติดลบหนัก 13%
          นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ได้ปรับประเมินตัวเลขสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยปี 64 ใหม่ หลังเกิดการแพร่ระบาดโควิดระลอกใหม่รุนแรง คาดว่าทั้งปีนี้จะมียอดโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศลดเหลือเพียง 804,241 ล้านบาท ติดลบ 13.4% ปีที่แล้วที่มีมูลค่า 928,376 ล้านบาท ในส่วนบ้านจัดสรรจะเหลือเพียง 542,240 ล้านบาท ลดลง 12.1% จากปีก่อน 616,939 ล้านบาท คอนโดมิเนียมเหลือ 262,001 ล้านบาท ลดลง 15.9% จากปีก่อนที่โอนไป 311,437 ล้านบาท

          ส่วนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ปี 64 จะลดเหลือเพียง 270,151 หน่วย ลดลง 24.6% จากปีก่อนที่มี 358,496 หน่วย แบ่งเป็นบ้านแนวราบเหลือ 184,734 หน่วย ลดลง 21.8%  คอนโดฯ เหลือ 85,416 หน่วย ลดลง 28.3%โดยศูนย์ข้อมูลฯ มองว่า ตลาดที่อยู่อาศัยปี 64 จะยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องเพื่อปรับสู่สภาวะสมดุลทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทาน และกว่าตลาดที่อยู่อาศัยจะกลับเข้าสู่ภาวะก่อนเกิดโควิดได้ต้องใช้เวลาอีก 5-6 ปี หรือในประมาณปี 68-70

          "ภาพรวมตลาดอสังหาฯในปี 64 ลดลงทั้งหมดทั้งด้านการโอนกรรมสิทธิ์ การลงทุนโครงการใหม่ การขยายตัวของสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ หลังการแพร่ระบาดของโค วิดระลอกใหม่มีความรุนแรง จนทำให้เศรษฐกิจถดถอยต่อเนื่อง และยังไม่มีความชัดเจนว่าจะฟื้นตัวได้ภายในปีนี้ นอกจากนี้ ยังพบว่าความต้องการที่อยู่อาศัยของทั้งประเทศ โดยเฉพาะใน 29 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มมีจำนวนลดลงอย่างมาก"

          สำหรับยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในครึ่งแรกปี 64 มีการโอนแล้ว 120,023 หน่วย ลดลง 28.8% และมูลค่า 377,520 ล้านบาท  ลดลง 10.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลในครึ่งแรกปี 64 มี 79,422 หน่วย ลดลง 10.1%  และมูลค่า 284,411 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.2% ขณะที่สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ทั่วประเทศครึ่งแรกมีวงเงิน 294,959 ล้านบาท และคาดว่าตลอดทั้งปีจะมีมูลค่าสินเชื่อ 586,040 ล้านบาท ลดลง 4.3% จากปีก่อน

          นอกจากนี้ ยังได้ทำการปรับการคาดการณ์ภาพรวมการออกใบอนุญาตจัดสรรปี 64 ลดลง 22.1% ส่วนแนวโน้มโครงการเปิดตัวใหม่จะลดลง 43,051 หน่วย ลดลงจากปีก่อนหน้า 35% ซึ่งเป็นการลดลงของโครงการอาคารชุดมากถึง 44.3% ขณะที่บ้านจัดสรรได้ลดลง 27.4%