ในช่วงที่คอนโดมิเนียมตลาดกลางและล่างกำลังชะลอตัวจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ทว่าตลาดคอนโดหรู หรือ ลักชัวรี่ และซูเปอร์ลักชัวรี่กลับเป็นกลุ่มตลาดเติบโต ทำยอดขายได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในย่านการค้าสำคัญ (ไพร์มเอเรีย)  อย่าง สุขุมวิท เพลินจิต ถนนวิทยุ ทองหล่อ รวมถึงริมแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยการรุกตลาดนิชมาร์เก็ต ลักชัวรี่ พัฒนาห้องสูทเพนท์เฮ้าส์ (Penthouse) ที่แม้ฐานลูกค้าจะแคบ แต่เป็นกลุ่มคนที่ซื้อจริง อยู่จริง ที่สำคัญ ส่วนใหญ่ "จ่ายสด"

          สุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางตลาดคอนโดเพนท์เฮ้าส์  ซึ่งจับกลุ่มคอนโดหรู ลักชัวรี่ ซูเปอร์ลักชัวรี่ ซึ่งเป็นตลาดที่เติบโต และได้รับความนิยม เนื่องจากมีจำนวนจำกัด จึงมีความต้องการสูง เพราะเป็นพื้นที่"ชั้นสูงสุด"ของคอนโด ที่มีการตำแหน่งพิเศษมีมูลค่าสูง ได้รับความนิยมจากกลุ่มเจ้าของธุรกิจที่มีกำลังซื้อมักซื้อสำหรับสะสมและเป็นที่พักอาศัย พักผ่อนในครอบครัวและญาติ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่ขายได้อย่างต่อเนื่อง
          "ตลาดลักชัวร์รี่ยังขายได้ต่อเนื่อง เพราะปริมาณมีจำกัด โดยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเจ้าของกิจการทั้งคนไทยและ ต่างชาติ ที่ตัดสินใจเพียง 2 เดือนก็ซื้อได้เลย ตลาดเพนท์เฮ้าส์จึงเป็นกลุ่มตลาดเฉพาะที่มีความต้องการอยู่แล้วเพียงแต่ต้องเจาะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเฉพาะเป็นรายบุคคล"

          เธอยังกล่าวภาพรวมในช่วง 5ปีที่ผ่านมา

          (ปี 2555-2560 ) ตลาดคอนโดในกรุงเทพฯ โดยรวมมีห้องสูทเพนท์เฮ้าส์ขยายตัวเพิ่มขึ้น 77 หน่วย(ยูนิต) หรือประมาณ 6% ต่อปี โดยปีนี้คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7% หรือ 104 ยูนิต โดยในจำนวนนี้มีโครงการระดับหรู (ลักชัวรี่และซูเปอร์ ลักชัวรี่) 43 ยูนิต คาดการณ์ว่าสิ้นปีจะมีตลาดคอนโดในกรุงเทพฯ จะมีห้องสูทเพนท์เฮ้าส์มีจำนวนทั้งสิ้น 1,590 ยูนิต แยกเป็นเป็น กลุ่มตลาดหรู 440 ยูนิต ส่วนราคาคอนโดระดับหรูในกรุงเทพฯ ปรับตัวสูงขึ้น 30% และยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง นักพัฒนาฯเห็นศักยภาพจึงเน้นเพิ่มซัพพลายลูกค้าในกลุ่มลักชัวร์รี่มากขึ้น

          โดยย่านที่ห้องสูทเพนท์เฮ้าส์กลุ่มลักชัวรี่ และซูเปอร์ลักชัวรี่ เปิดโครงการส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณสุขุมวิท เพลินจิต ถนนวิทยุ ทองหล่อ โดยราคาเฉลี่ยในตลาดอยู่ที่ 3-4 แสนบาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) หรือ 150-300 ล้านบาทต่อยูนิต ราคาสูงสุด อยู่ที่ 7 แสนบาทต่อตร.ม. หรือ 600 ล้านบาท ต่อยูนิต

          อย่างไรก็ตาม ลักษณะการขายห้องสูทเพนท์เฮ้าส์ในปัจจุบันปรับเปลี่ยนไปตามความต้องการลูกค้า เพื่อให้โครงการขายได้รวดเร็วมากขึ้น โดยการแบ่งจำนวนห้องให้ลดลงจากอดีตที่ 300-500 ตร.ม. ต่อยูนิต แบบซื้อยกชั้นทั้งชั้นมี 1 ยูนิต เป็นการแบ่ง 2-4 ยูนิตต่อชั้น รวมถึง ลดจำนวนพื้นที่เหลือ 150-220 ตร.ม.ต่อยูนิต ในราคาก็ลดลงเพื่อปิดการขายได้รวดเร็วอยู่ที่ 130-180 ล้านบาทต่อยูนิต  ทั้งนี้มีพื้นที่คอนโดเปิดใหม่ในปีนี้หันมาแบ่งคอนโดชั้นบนเพื่อพัฒนาสูทเพนท์เฮ้าส์ มากขึ้น เพื่อเป็นจุดขายของคอนโด อีกทั้งเริ่มขยายทำเลใหม่จากเดิมกระจุกตัวใน โซนสุขุมวิท เปิดตัวมากขึ้นในโซนริม แม่น้ำเจ้าพระยา เนื่องจากเป็นพื้นที่จุดขายใหม่ที่กลุ่มเศรษฐีเจ้าของธุรกิจมี ความต้องการซื้อเก็บสะสมที่พักอาศัยริมแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อการพักผ่อน และเติมเต็มประสบการณ์ให้ชีวิต จึงส่งผลทำให้ตลาดเพนท์เฮ้าส์ในโซนริมแม่น้ำเจ้าพระยากลายเป็นศูนย์กลางย่านธุรกิจแห่งใหม่สำหรับเศรษฐี

          สำหรับโครงการคอนโดหรูห้องสูท เพนท์เฮ้าส์ ที่กำลังเปิดตัวริมน้ำเจ้าพระยาราว 3-4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ Four Seasons Private Residence Bangkok, โครงการ Banyan Tree Residence Riverside Bangkok, โครงการ The Residence at Mandarin Oriental (ICONSIAM)

          ขณะที่ เดชา ตั้งสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม่น้ำเรสซิเดนท์ จำกัด ผู้พัฒนา โครงการแม่น้ำ เรสซิเดนท์ คอนโดหรูรวมทั้งโครงการ 294 ยูนิต แบ่งเป็นห้องสูทเพนท์เฮ้าส์ 9 ยูนิต ตั้งแต่ชั้น 49-54 ซึ่งขายไปแล้ว 3 ยูนิต โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 60-80 ล้านบาทต่อยูนิต พื้นที่ 270-280 ตร.ม. โดยรวมมีคอนโดเหลือทั้งสิ้น 22 ยูนิต โดยเป็นห้องสูทเพนท์เฮ้าส์ 6 ยูนิตที่คาดว่าจะปิดโครงการให้เสร็จภายในกลางปี 2562

          เขามองว่าคอนโดหรูในย่านริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นทำเลใหม่ของกลุ่มมหาเศรษฐีทั้งไทย และต่างชาติ ซึ่งการเปิดตัวของโครงการหรูไอคอนสยาม พร้อมกับโครงการคอนโดหรู และโรงแรมหรูในปลายปี ส่งผลทำให้ตลาดคอนโดริมแม่น้ำเจ้าพระยาเริ่มได้รับความสนใจ พราะเป็นการสร้างสีสันและความคึกคักให้ย่านนี้ เป็นแรงผลักดันให้ราคาขายในย่านแห่งนี้สูงขึ้น