แสนสิริ เดินหน้าพร็อพเทค รุกทดสอบ รถไร้คนขับ-โดรน
วันที่ : 7 สิงหาคม 2562
บทบาท "สิริ เวนเจอร์ส" บริษัท ร่วมทุนระหว่างบมจ.แสนสิริ และธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อวิจัยและลงทุนด้านเทคโนโลยีการอยู่อาศัย หรือ "พร็อพเทค" (Prop Tech) อย่างครบวงจร สะท้อนถึงความพยายามของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายนี้ ที่ต้องการจะผลักดัน แบรนด์เข้าใกล้พฤติกรรมของผู้คนในยุค 4.0 รับมือ "เทคโนโลยี" ที่รุกคืบเข้ามา "ดิสรัป"ธุรกิจอสังหาฯ
บุษกร ภู่แส
กรุงเทพธุรกิจ
บทบาท "สิริ เวนเจอร์ส" บริษัท ร่วมทุนระหว่างบมจ.แสนสิริ และธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อวิจัยและลงทุนด้านเทคโนโลยีการอยู่อาศัย หรือ "พร็อพเทค" (Prop Tech) อย่างครบวงจร สะท้อนถึงความพยายามของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายนี้ ที่ต้องการจะผลักดัน แบรนด์เข้าใกล้พฤติกรรมของผู้คนในยุค 4.0 รับมือ "เทคโนโลยี" ที่รุกคืบเข้ามา "ดิสรัป"ธุรกิจอสังหาฯ ผ่านการร่วมลงทุนกับพันธมิตรและกลุ่มสตาร์ทอัพทั้งใน และต่างประเทศ ด้วยงบประมาณ 1,500 ล้านบาท ในระยะเวลา 3 ปี (ปี2561-2563)
โดยมีสตาร์ทอัพหลายรายที่สิริ เวนเจอร์ส เข้าไปลงทุนในปี2561 อาทิ Semtive สตาร์ทอัพ ผู้พัฒนากังหันลมพลังงานไฟฟ้าสำหรับที่อยู่อาศัย ได้เริ่มทยอย ส่งมอบกังหันลมสำหรับใช้ในครัวเรือนแล้ว, Neuron สตาร์ทอัพ e-Scooter สัญชาติสิงคโปร์ เริ่มให้บริการในโครงการ ดีคอนโด พิงค์ และขยายการให้บริการ ไปในพื้นที่พร้อมพงษ์-อ่อนนุช ตลอดจนในพื้นที่รอบตัวเมืองเชียงใหม่, สตาร์ทอัพ ไทย ซึ่งได้พัฒนา"น้องแสนรู้"หุ่นยนต์พนักงานของแสนสิริที่จะช่วยเข้ามา ตอบเรื่องนวัตกรรมที่ The Cloud ชั้น 3 สยามพารากอน
ล่าสุด จิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด เผยว่า ได้เปิดตัว อีก 3 สตาร์ทอัพที่เข้ามาใน"สนามทดสอบ" ภายในโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริ ได้แก่ 1.รถยนต์ไร้คนขับ AIROVR สตาร์ทอัพผู้พัฒนาระบบสำหรับรถยนต์ไร้คนขับสัญชาติไทย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช. )ในด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ ซึ่ง AIROVR จะพัฒนาระบบรถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับ ในการขนส่งผู้โดยสารจากโครงการที่อยู่อาศัยไปยังรถไฟฟ้า และการขนส่งจากรถไฟฟ้ากลับมายังโครงการที่อยู่อาศัย ขณะที่ สวทช.จะพัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยี ระบบ Drive-by-Wire การ บูรณาการเซ็นเซอร์สำหรับรถยนต์ ไร้คนขับระบบบ่งชี้ตำแหน่งและการนำทาง ระบบควบคุมและสั่งการ และ แผนที่ 3D ความละเอียดสูง เพื่อให้สามารถวิ่งได้จริงในโครงการT77 ของแสนสิริ
2.โดรน เดลิเวอรี่ ของ Fling สตาร์ทอัพผู้พัฒนาโดรนมาทดลอง ส่งสินค้าจาก Habito Mall ไปยัง โครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริ ในพื้นที่โครงการ คาดว่าจะเริ่มทดลองได้ หลังจากผ่านขั้นตอนการขออนุญาต หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และ 3.การดูแลรักษาความปลอดภัย ของ SoundEye สตาร์ทอัพผู้พัฒนา แพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ (AI)ผ่านมา ไมโครโฟนเซนเซอร์ที่มีส่วนช่วยตรวจจับเสียงผิดปกติ อาทิ เสียงร้องขอ ความช่วยเหลือเสียงน้ำรั่วซึม เสียงปืนในอาคารประเภทต่าง ๆ มาแล้วหลายแห่งในสิงคโปร์ รวมถึงในสนามบินชางฮี โดยจะเริ่มทดลองในไตรมาส 4 ปีนี้ ในโครงการคอนโดของแสนสิริ 2 แห่ง
"3 เทคโนโลยีดังกล่าวจะเข้ามา ทดลองใช้จริงในพื้นที่ของแสนสิริ ที่จัดขึ้น มาสำหรับทดสอบและพัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยีของสตาร์ทอัพ ในไตรมาส 4 ปีนี้โดยใช้ระยะเวลา 6-9 เดือนหากประสบความสำเร็จแสนสิริจะเข้าไปลงทุน แต่ไม่สำเร็จถือเป็นการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างสตาร์อัพและแสนสิริ ไม่จำเป็นต้องลงทุนเสมอไปอาจจะใช้วิธีการ ซื้อเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการของลูกบ้าน"
สำหรับแนวทางการลงทุนของ สิริ เวนเจอร์ เรื่องแรกคือ การซินเนอร์จี (Synergy) กับสตาร์ทอัพที่ทำให้เกิด แรงกระเพื่อมให้กับแสนสิริ ลูกบ้าน หรือระบบนิเวศน์ ส่วนเรื่องที่สองคือไฟแนนเชียลรีเทิร์น อย่างน้อยใน 3-5 ปี ธุรกิจยังต้องเติบโตต่อไปได้
จิรพัฒน์ ยังกล่าวว่า หากสามารถพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไร้คนขับ โดรนส่งของ หรือระบบเสียงเพื่อความปอดภัย ส่งผลให้การใช้ชีวิตมีความสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งจุดประกายแนวทางการยกระดับวงการขนส่งไทย และสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ให้กับ วงการอสังหาฯไทย เพราะการเดินทางของผู้บริโภคจะสะดวกสบายมากขึ้น จนทำเล'ไม่ใช่'ปัจจัยหลักของการเลือกที่อยู่อาศัยอีกต่อไป
สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป กล่าวคือมี ความต้องการในเรื่องของความปลอดภัย ความสะดวกสบายมีมากขึ้น ทำให้นักพัฒนาอสังหาฯทุกรายพยายามพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว คาดว่า ในปีหน้าน่าจะได้เห็น รถไร้คนขับวิ่งรับคน พนักงาน รวมทั้ง โดรนส่งของและเซนเซอร์เสียงเพื่อรองรับระบบความปลอดภัยในโครงการแสนสิริ
ปัจจุบันแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภครุ่นใหม่ความต้องการเป็นเจ้าของลดลงไม่นิยมซื้อรถ อสังหาฯเหมือนในอดีต ลักษณะของที่อยู่อาศัยแบบโคลิฟวิ่ง สเปซ กำลังจะเข้ามาในอนาคต เหมือนกับที่เกิดขึ้น ในสหรัฐ ฮ่องกง สิงคโปร์ คนเปลี่ยน วิถีชีวิตที่เคยอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวมาเป็น การใช้พื้นที่ร่วมกันมากขึ้น ฉะนั้น ดีเวลอปเปอร์ ควรศึกษาข้อมูลและพัฒนาโครงการพื้นฐานในพื้นที่ใช้สวยร่วมกัน มากขึ้นโดยการนำเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกในการอยู่รวมกันมาใช้มากขึ้น
กรุงเทพธุรกิจ
บทบาท "สิริ เวนเจอร์ส" บริษัท ร่วมทุนระหว่างบมจ.แสนสิริ และธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อวิจัยและลงทุนด้านเทคโนโลยีการอยู่อาศัย หรือ "พร็อพเทค" (Prop Tech) อย่างครบวงจร สะท้อนถึงความพยายามของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายนี้ ที่ต้องการจะผลักดัน แบรนด์เข้าใกล้พฤติกรรมของผู้คนในยุค 4.0 รับมือ "เทคโนโลยี" ที่รุกคืบเข้ามา "ดิสรัป"ธุรกิจอสังหาฯ ผ่านการร่วมลงทุนกับพันธมิตรและกลุ่มสตาร์ทอัพทั้งใน และต่างประเทศ ด้วยงบประมาณ 1,500 ล้านบาท ในระยะเวลา 3 ปี (ปี2561-2563)
โดยมีสตาร์ทอัพหลายรายที่สิริ เวนเจอร์ส เข้าไปลงทุนในปี2561 อาทิ Semtive สตาร์ทอัพ ผู้พัฒนากังหันลมพลังงานไฟฟ้าสำหรับที่อยู่อาศัย ได้เริ่มทยอย ส่งมอบกังหันลมสำหรับใช้ในครัวเรือนแล้ว, Neuron สตาร์ทอัพ e-Scooter สัญชาติสิงคโปร์ เริ่มให้บริการในโครงการ ดีคอนโด พิงค์ และขยายการให้บริการ ไปในพื้นที่พร้อมพงษ์-อ่อนนุช ตลอดจนในพื้นที่รอบตัวเมืองเชียงใหม่, สตาร์ทอัพ ไทย ซึ่งได้พัฒนา"น้องแสนรู้"หุ่นยนต์พนักงานของแสนสิริที่จะช่วยเข้ามา ตอบเรื่องนวัตกรรมที่ The Cloud ชั้น 3 สยามพารากอน
ล่าสุด จิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด เผยว่า ได้เปิดตัว อีก 3 สตาร์ทอัพที่เข้ามาใน"สนามทดสอบ" ภายในโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริ ได้แก่ 1.รถยนต์ไร้คนขับ AIROVR สตาร์ทอัพผู้พัฒนาระบบสำหรับรถยนต์ไร้คนขับสัญชาติไทย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช. )ในด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ ซึ่ง AIROVR จะพัฒนาระบบรถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับ ในการขนส่งผู้โดยสารจากโครงการที่อยู่อาศัยไปยังรถไฟฟ้า และการขนส่งจากรถไฟฟ้ากลับมายังโครงการที่อยู่อาศัย ขณะที่ สวทช.จะพัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยี ระบบ Drive-by-Wire การ บูรณาการเซ็นเซอร์สำหรับรถยนต์ ไร้คนขับระบบบ่งชี้ตำแหน่งและการนำทาง ระบบควบคุมและสั่งการ และ แผนที่ 3D ความละเอียดสูง เพื่อให้สามารถวิ่งได้จริงในโครงการT77 ของแสนสิริ
2.โดรน เดลิเวอรี่ ของ Fling สตาร์ทอัพผู้พัฒนาโดรนมาทดลอง ส่งสินค้าจาก Habito Mall ไปยัง โครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริ ในพื้นที่โครงการ คาดว่าจะเริ่มทดลองได้ หลังจากผ่านขั้นตอนการขออนุญาต หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และ 3.การดูแลรักษาความปลอดภัย ของ SoundEye สตาร์ทอัพผู้พัฒนา แพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ (AI)ผ่านมา ไมโครโฟนเซนเซอร์ที่มีส่วนช่วยตรวจจับเสียงผิดปกติ อาทิ เสียงร้องขอ ความช่วยเหลือเสียงน้ำรั่วซึม เสียงปืนในอาคารประเภทต่าง ๆ มาแล้วหลายแห่งในสิงคโปร์ รวมถึงในสนามบินชางฮี โดยจะเริ่มทดลองในไตรมาส 4 ปีนี้ ในโครงการคอนโดของแสนสิริ 2 แห่ง
"3 เทคโนโลยีดังกล่าวจะเข้ามา ทดลองใช้จริงในพื้นที่ของแสนสิริ ที่จัดขึ้น มาสำหรับทดสอบและพัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยีของสตาร์ทอัพ ในไตรมาส 4 ปีนี้โดยใช้ระยะเวลา 6-9 เดือนหากประสบความสำเร็จแสนสิริจะเข้าไปลงทุน แต่ไม่สำเร็จถือเป็นการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างสตาร์อัพและแสนสิริ ไม่จำเป็นต้องลงทุนเสมอไปอาจจะใช้วิธีการ ซื้อเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการของลูกบ้าน"
สำหรับแนวทางการลงทุนของ สิริ เวนเจอร์ เรื่องแรกคือ การซินเนอร์จี (Synergy) กับสตาร์ทอัพที่ทำให้เกิด แรงกระเพื่อมให้กับแสนสิริ ลูกบ้าน หรือระบบนิเวศน์ ส่วนเรื่องที่สองคือไฟแนนเชียลรีเทิร์น อย่างน้อยใน 3-5 ปี ธุรกิจยังต้องเติบโตต่อไปได้
จิรพัฒน์ ยังกล่าวว่า หากสามารถพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไร้คนขับ โดรนส่งของ หรือระบบเสียงเพื่อความปอดภัย ส่งผลให้การใช้ชีวิตมีความสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งจุดประกายแนวทางการยกระดับวงการขนส่งไทย และสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ให้กับ วงการอสังหาฯไทย เพราะการเดินทางของผู้บริโภคจะสะดวกสบายมากขึ้น จนทำเล'ไม่ใช่'ปัจจัยหลักของการเลือกที่อยู่อาศัยอีกต่อไป
สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป กล่าวคือมี ความต้องการในเรื่องของความปลอดภัย ความสะดวกสบายมีมากขึ้น ทำให้นักพัฒนาอสังหาฯทุกรายพยายามพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว คาดว่า ในปีหน้าน่าจะได้เห็น รถไร้คนขับวิ่งรับคน พนักงาน รวมทั้ง โดรนส่งของและเซนเซอร์เสียงเพื่อรองรับระบบความปลอดภัยในโครงการแสนสิริ
ปัจจุบันแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภครุ่นใหม่ความต้องการเป็นเจ้าของลดลงไม่นิยมซื้อรถ อสังหาฯเหมือนในอดีต ลักษณะของที่อยู่อาศัยแบบโคลิฟวิ่ง สเปซ กำลังจะเข้ามาในอนาคต เหมือนกับที่เกิดขึ้น ในสหรัฐ ฮ่องกง สิงคโปร์ คนเปลี่ยน วิถีชีวิตที่เคยอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวมาเป็น การใช้พื้นที่ร่วมกันมากขึ้น ฉะนั้น ดีเวลอปเปอร์ ควรศึกษาข้อมูลและพัฒนาโครงการพื้นฐานในพื้นที่ใช้สวยร่วมกัน มากขึ้นโดยการนำเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกในการอยู่รวมกันมาใช้มากขึ้น
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ