แอสเซทไวส์ จี้ปลดล็อก แอลทีวี อนอสังหาฯ
Loading

แอสเซทไวส์ จี้ปลดล็อก แอลทีวี อนอสังหาฯ

วันที่ : 18 มิถุนายน 2562
"แอสเซทไวส์" จี้แบงก์ชาติ ปลดล็อกแอลทีวี กระตุ้นตลาดอสังหาฯ หลังไตรมาส 2 ยอดโอนลด 20% ลุ้นสิ้นปีนี้ สามารถรักษาเป้ายอดรับรู้รายได้ไม่ให้ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท พร้อมประกาศเลื่อนเข้าตลาดปีหน้า
           เลื่อนแผนเข้าตลาดฯปีหน้า เหตุ"ศก.-การเมือง"ไม่เอื้อ

          "แอสเซทไวส์" จี้แบงก์ชาติ ปลดล็อกแอลทีวี กระตุ้นตลาดอสังหาฯ หลังไตรมาส 2 ยอดโอนลด 20% ลุ้นสิ้นปีนี้ สามารถรักษาเป้ายอดรับรู้รายได้ไม่ให้ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท พร้อมประกาศเลื่อนเข้าตลาดปีหน้า

          นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร บริษัทแอทเซสไวส์ จำกัด กล่าวว่า มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อ เพื่อที่อยู่อาศัย (แอลทีวี) ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ที่บังคับใช้ใน วันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น ส่งผลกระทบตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมค่อนข้างมาก จึงอยากให้ทบทวนดูว่าสิ่งที่ธปท.กังวล เรื่องการเก็งกำไรได้ลดลงหรือไม่ หากลดลงแล้ว ควรผ่อนเกณฑ์ หรือยกเลิกมาตรการ ดังกล่าว ให้คนที่ต้องการบ้านหลังที่ 2 สามารถผ่อนดาวน์ 10% เช่นเดิม

          ขณะเดียวกัน ให้สถาบันการเงินสามารถปล่อยสินเชื่อชาวต่างชาติได้ตามเกณฑ์ การพิจารณาที่เหมาะสม เพื่อขยายฐานลูกค้าชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อ ระบายสต็อกในสัดส่วนชาวต่างชาติ ในช่วงเวลา ที่กำลังซื้อคนไทยอ่อนแรง ซึ่งจะช่วยกระตุ้น ตลาดอสังหาฯได้อีกทางหนึ่ง  ทั้งนี้เนื่องจาก 5เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-พ.ค.)  ในส่วนของบริษัทพบว่ายอดโอนลดลง 20% จากที่ตั้งเป้าไว้ 1,000 ล้านบาท ส่วนยอดปฏิเสธสินเชื่ออยู่ในสัดส่วน 10-20% สำหรับ

          ครึ่งปีหลังคาดว่าจะมียอดการรับรู้รายได้จาก โครงการ 2-3 โครงการคอนโดมิเนียมที่จะแล้วเสร็จ ได้แก่ แอทโมซ แอลาดพร้าว 71, รัชดาห้วยขวาง และลาดพร้าว15 ขณะที่ ยอดรีเซลหรือยอดขายครึ่งปีหลังน่าจะ มีโอกาสกลับมาอีกครั้งจากความมั่นคงทางการเมืองหากรัฐบาลสามารถจัดตั้ง คณะรัฐมนตรีได้เร็ว เร่งทำงาน "อยากให้รัฐบาลมองมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง เสริมเข้ามาด้วยเพื่อกระตุ้น ปากท้องชาวบ้าน เพราะตลาดอสังหาฯ เป็นเรื่องของบรรยากาศและอารมณ์ซื้อ หากคนมีความรู้สึกมั่นใจ จะมีอารมณ์ในการ จับจ่ายใช้สอยมากขึ้น"

          นายกรมเชษฐ์ ยังกล่าวถึงแผนการ ดำเนินงานในครึ่งปีหลังว่า ในไตรมาส 3 มีแผนจะเปิดตัวโครงการ "โมดิซ" (MODIZ) บางโพ มูลค่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ใกล้รัฐสภาแห่งใหม่ ติดแนวรถไฟฟ้าโซนบางซี่อ บางโพ ราคา เริ่มต้น 2.8 ล้านบาท ขนาด 25 ตรม.เฉลี่ย ราคา 130,000 บาทต่อตรม. มีจำนวน 235 ยูนิต เป็นคอนโดสูง 26 ชั้น ที่ทำเล ติดรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวจะเปิดปี2563  "กลุ่มเป้าหมายจะเป็นลูกค้าที่มีรายได้ 50,000-150,000 บาทต่อเดือน ห้องละ 3 ล้านบาท ราคาแพงสุดเท่าที่เคยทำคอนโด แต่ถือว่าถูกมากในเซ็กเมนท์นี้ "

          นอกจากนี้จะเปิดโครงการ "ไอโวรี่" (IVORY) เป็นคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise อยู่ซอยรัชดาภิเษก 32 บน พื้นที่กว่า 600 ตารางวา มูลค่าโครงการกว่า 500 ล้านบาท และโครงการ "เคฟ ทียู" (KAVE TU) Thammasat มีจำนวน 1,016 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,940 ล้านบาทเปิดพรีเซล เดือนก.ย. นี้  ส่วนไตรมาส 4 จะเป็นโครงการ ร่วมทุนโครงการภูริปุรี ซึ่งเป็นการร่วมทุน กับกับบริษัท บ้านภูริปุรี โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งมีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการ ทาวน์โฮมหรูราคา 7-10 ล้านบาท ย่านลาดพร้าว ด้วยการก่อตั้งบริษัท เอบีเจวี จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท โดย แอทเซทไวส์ฯ ถือหุ้น 51% และบ้านภูริปุรีฯ ถือหุ้น 49% เพื่อพัฒนาโครงการทาวน์โฮม ย่านพัฒนาการ 32 และซอยภาวนา ลาดพร้าว

          อย่างไรก็ตามจากการที่ราคาที่ดินพุ่งสูง การทำโครงการแนวราบ (บ้าน ทาวน์เฮ้าส์) ไม่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายวงกว้าง ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ราคาที่จับต้องได้ สำหรับแนวราบไม่ควรเกิน 5 ล้านบาท เพราะราคาที่ดินปัจจุบันทำได้ยากส่งผลให้ คอนโดยังคงเป็นตัวเลือกที่จับต้องได้  ในระดับราคา 1.5-3 ล้านบาท ซึ่งสัดส่วนในกลุ่มนี้ของบริษัทมีอยู่ 70% ที่เหลือ เป็นระดับราคาเกิน 3 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วน 70% ระดับราคาสูงสุดของเรา อยู่ที่ 7 ล้านบาท

          นายกรมเชษฐ์ กล่าวว่า แผนการ เข้าตลาดหลักทรัพย์จะเลื่อนไปยื่นไฟลิ่ง (ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ประเภทหุ้น) ในต้นปี 2563 เนื่องจากสภาพตลาดไม่เอื้ออำนวยไม่ว่าจะเป็นสภาพเศรษฐกิจ การเมือง คาดว่าแนวโน้มปี 2563 เศรษฐกิจน่าจะสดใสขึ้น เพราะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งน่าจะเกิน 1 ปี เนื่องจากการที่รัฐบาลชุดใหม่ มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ปริ่มน้ำ ต้องระมัดระวังขึ้นไม่ประมาท ในการทำงาน เพราะถ้ายุบสภาเลือกตั้งใหม่ จะเกิดความไม่แน่นอนเกิดขึ้น ไม่รู้ว่า จะได้กลับเข้ามาอีกไหม แต่คิดว่ารัฐบาลน่าจะสานต่อนโยบายเดิมที่วางไว้แล้วโดยเฉพาะเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ให้เกิดความต่อเนื่อง และทำให้เสร็จ เพื่อโชว์ผลงาน

          "ในส่วนบริษัทตั้งเป้าเข้าไประดมทุน ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถือว่าเป็นเฟส 2 ของบริษัทเพื่อทำให้ธุรกิจมั่นคง หลังจากนั้น จะมองหาโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ ๆ ที่ทำให้ ธุรกิจหลักมั่นคง โดยยังโฟกัสที่อสังหาฯ เพราะบริษัทมีจุดเด่นในการเลือกทำเล และทำสินค้าที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย คาดว่า สิ้นปีนี้จะสามารถการรักษาเป้ายอดรับรู้รายได้ ไม่ให้ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาทจากปี 2561 มียอด การรับรู้รายได้ 4,200 ล้านบาท"

          อยากให้รัฐบาลมองมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง เสริมเข้ามา

          เพราะอสังหาฯเป็นเรื่องของบรรยากาศและอารมณ์ซื้อ หากคนรู้สึกมั่นใจ จะมีอารมณ์ในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ