ผวา!ทุนจีนทิ้งอสังหาฯไทย หลังนายหน้าโก่งราคาสูงลิบ
Loading

ผวา!ทุนจีนทิ้งอสังหาฯไทย หลังนายหน้าโก่งราคาสูงลิบ

วันที่ : 23 มกราคม 2562
"จูเหว่ย" แนะไทยจริงใจ อย่าโก่งราคาขายอสังหาฯคนจีน เผยอสังหาฯไทยขึ้นแท่นอันดับ 1 ความนิยมจากผู้ซื้อชาวจีน อันดับ 4 ที่จีนเข้ามาลงทุน มูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์ กรุงเทพฯ ยังเป็นพื้นที่น่าลงทุนอันดับ 1
         "จูเหว่ย" แนะไทยจริงใจ อย่าโก่งราคาขายอสังหาฯคนจีน เผยอสังหาฯไทยขึ้นแท่นอันดับ 1 ความนิยมจากผู้ซื้อชาวจีน  อันดับ 4 ที่จีนเข้ามาลงทุน มูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์ กรุงเทพฯ ยังเป็นพื้นที่น่าลงทุนอันดับ 1

          นางแคร์รี่ ลอร์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการบริษัท จูเหว่ย ดอทคอม จำกัด เปิดเผยว่า ข้อมูลจากเว็บไซต์ Juwai.com ซึ่งเป็นเว็บฯสำหรับชาวจีนในการค้นหาอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ ที่เข้าถึงผู้บริโภคประมาณ 3.1 ล้านคนต่อเดือน มีจำนวนประกาศขายอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 2 ล้านประกาศ  รองรับการใช้งานกว่า 90 ประเทศ

          พบว่า ในปี 2561 ประเทศไทยได้ถูกจัดอันดับที่ 1 ซึ่งความนิยมดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นจากลำดับ 6 ในปี 2559 ลำดับ 3 ในปี 2560 และเป็นครั้งแรกที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยได้รับความสนใจ จากผู้ซื้อชาวจีนเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 1 รองลงมาเป็นชาวออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ มาเลเซีย นิวซีแลนด์ กรีซ ญี่ปุ่น และเยอรมนี ตามลำดับ

          "แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ต จนนักท่องเที่ยวชาวจีนหายไป แต่ก็เป็นเพียงระยะสั้น ซึ่งความนิยมซื้ออสังหาฯในไทยของชาวจีนไม่ได้ลดลง นอกจากนี้ ปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีน และสหรัฐอเมริกา จะทำให้ผู้ซื้อชาวจีนยกเลิกซื้ออสังหาฯในอเมริกาฯ หันมาซื้อ อสังหาฯ ในไทยแทน"

          จากข้อมูลของปี 2561 ยังพบว่า ประเทศที่ชาวจีนเข้าไปลงทุนมากที่สุดคือ สหรัฐอเมริกา คิดเป็นมูลค่า 30.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาคือฮ่องกง มูลค่า 16.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ, ออสเตรเลีย มูลค่า 14.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ, ไทยมูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมาเลเซีย มูลค่า 2.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

          ในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนจากจีน และฮ่องกงได้ซื้อขายอสังหาฯในไทยจำนวน 15,000 ยูนิต หากประเมินจากตัวเลขการซื้อ ชาวจีน และฮ่องกงจะเฉลี่ยราคาห้องละ 5 ล้านบาทต่อยูนิต มูลค่าลงทุนรวมการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยรวมในปี 2561 คิดเป็นมูลค่า 75,000 ล้านบาท สำหรับพื้นที่นักลงทุนชาวจีนให้ความสนใจในประเทศไทยที่จะลงทุนอันดับ 1 คือ กรุงเทพฯ รองลงมาคือ จังหวัดเชียงใหม่ พัทยา ภูเก็ต และสัตหีบ

          "กรุงเทพฯ ยังเป็นเมืองที่น่าลงทุนของนักลงทุนชาวจีน แต่ปัจจุบันกรุงเทพฯ ประสบปัญหาเรื่องมลภาวะทางอากาศที่เป็นพิษ ซึ่งผู้ซื้อชาวจีนคงไม่อยากเดินทางไปต่างประเทศเพื่อไปพบปัญหาอากาศเสียเหมือนกับที่ชาวจีนเผชิญอยู่ และสิ่งสำคัญของผู้ขายอสังหาฯ ให้แก่ชาวจีนจะต้องมีความจริงใจไม่หลอก โดยเฉพาะเรื่องราคาต้องไม่แพงจนเกินไปหรือราคาสูงกว่าขายให้คนไทยหรือชาติอื่นๆ มากจนเกินไป หรือบวกค่าธรรมเนียมที่เป็นธรรม ซึ่งชาวจีนรับได้ แต่หากขายราคาสูงเกินจริง เมื่อผู้ซื้อมารู้ทีหลังจะไม่พอใจและอาจไม่รับโอนหรือไม่ต้องการซื้ออสังหาฯในไทยเลยก็เป็นได้" นางแคร์รี่กล่าว

          ด้านนายสุรเชษฐ กองชีพ นักวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ปัจจุบัน พฤติกรรมการเลือกทำเลในการซื้อคอนโดมิเนียมของคนจีนเปลี่ยนไป อาทิ ผู้ประกอบการประชาสัมพันธ์เข้าถึงนักลงทุนชาวจีนโดยตรง กลุ่มนักลงทุนจีนกระจายการลงทุนออกไปในพื้นที่ต่างๆ ระบบออนไลน์ที่แข็งแกร่งของประเทศจีน เป็นอีกปัจจัยที่เพิ่มการรับรู้ให้กับผู้ซื้อชาวจีนโดยตรง

          แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์รายหนึ่ง อธิบายถึงตลาดการขายโครงการคอนโดมิเนียมในกลุ่มลูกค้าชาวจีนว่า ยังมีโอกาสเติบโต ซึ่งจะมีโครงการคอนโดฯในไทยที่ให้โบรกเกอร์จีน ทำหน้าที่ในการขายห้องชุดให้กับกลุ่มดังกล่าว ซึ่งทางโครงการบางแห่งจะมีการถอยราคาลงมา โดยทางตัวแทนจะไปบวกราคาจากปัจจุบัน เฉลี่ยจะขยับขึ้นไปประมาณ 15-18% จากในอดีตจะอยู่ประมาณ 8% และหากมีโปรโมชันแถมเฟอร์นิเจอร์ ก็จะมีบวกราคาเพิ่ม แต่ต้องระมัดระวัง เนื่องจากมีโบรกเกอร์สมัครเล่น ที่เข้ามาสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาด

          "เราแยกโบรกเกอร์จีนออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เป็นมังกรจีน และ กลุ่มกุมารจีน กลุ่มแรกเป็นมืออาชีพที่เข้ามาทำตลาดอย่างจริงจัง มีพนักงาน มีสำนักงานในฮ่องกง สิงคโปร์ แต่กลุ่มหลัง แตกตัวออกมาแล้วเข้ามาทำธุรกิจ โดยเสนอราคาสูงขายคนจีน แต่มีพฤติกรรมที่ไม่จ่ายค่าคอมมิชชันให้กับตัวแทนขาย ส่งผลให้การดูแลลูกค้าไม่ต่อเนื่อง ทำให้ลูกค้าชาวจีน มองว่าถูกเอารัดเอาเปรียบ และตัดสินใจไม่โอนห้องชุด ดังนั้น หากมีกฎหมายนายหน้าออกมา จะช่วยยกระดับมาตรฐานธุรกิจโบรกเกอร์ให้เป็นที่น่าเชื่อถือมากขึ้น" แหล่งข่าวกล่าว
 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ