KKPสินเชื่ออสังหาหดตัว20%ตลาดคอนโด-บ้านยังน่าห่วง
Loading

KKP สินเชื่ออสังหาหดตัว20%ตลาดคอนโด-บ้านยังน่าห่วง

วันที่ : 2 ธันวาคม 2568
KKP ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ผู้ประกอบการอสังหา ปี 2568 ไว้ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท ลดลงราว 20% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.5 หมื่นล้านบาท สอดคล้องกับสภาวะตลาดและการชะลอตัว อสังหาไทยปี 2569 ฟื้นตัวช้า กำลังซื้ออ่อน ตลาดคอนโดและบ้านหรูยังน่าห่วง
    นายวิศรุต ปัญญาภิญโญผล Real Estate Lending Head ธนาคาร เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP เปิดเผยว่า ภาพรวมการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ปี 2568 คาดว่าอยู่ที่ 12,000 ล้านบาท ลดลงราว 20% จากปี 2567 ที่มีวงเงินสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายปีนี้ที่ตั้งไว้ 15,000 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับสภาวะตลาดและการชะลอตัวนี้สะท้อนพฤติกรรมผู้ประกอบการที่ระมัดระวังมากขึ้น

    ทั้งนี้เนื่องจากสินเชื่อโครงการใหม่ส่วนใหญ่เป็นการให้วงเงินเพื่อซื้อที่ดินหรือการเริ่มพัฒนาโครงการใหม่ ซึ่งในภาวะที่ตลาดยังมีสต๊อกคงเหลือจำนวนมาก ผู้ประกอบการจึงชะลอการซื้อที่ดิน และเลื่อนการเปิดโครงการเพื่อบริหารความเสี่ยงให้สอดคล้องกับภาวะดีมานด์จริง

    ขณะที่ทิศทางการปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในปี 2569 ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 12,000 ล้านบาท โดย 70% จะเป็นแนวราบ ในบริเวณกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งธนาคารยังคงนโยบายสินเชื่อที่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ไม่เร่งปล่อยสวนตลาด และยังคงให้ความสำคัญกับลูกค้ากลุ่มเดิม ทั้งกลุ่ม บมจ. และ SME ที่มีความแข็งแรงทางธุรกิจ

   ยอดโอนลดลง

    นายกรทิพย์ พฤกษ์ประเสริฐดี นักวิจัยข้อมูลอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2568 ยังคงอยู่ในช่วงปรับฐานอย่างชัดเจน โดยคาดว่ายอดโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศปี 2568 จะอยู่ที่ราว 3 แสนหน่วย ลดลงจากระดับก่อนโควิด ที่มียอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ปีละประมาณ 4 แสนหน่วย ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปี และยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปี

    โดยการเปิดตัวโครงการเปิดใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลมีแนวโน้มลดลง คาดว่าทั้งปี 2568 จะมีเพียงประมาณ 41,160 หน่วย ลดลงกว่า 33% หรือราว 20,000 หน่วยจากปี 2567 มูลค่ารวมลดลงเหลือ 240,000 ล้านบาท จากระดับ 418,000 ล้านบาทในปีก่อนหน้า

    โดยกลุ่มแนวราบได้รับผลกระทบชัดเจนที่สุดเมื่อเทียบยอดเปิดใหม่ช่วง 9 เดือนแรกของปีกับปีก่อนหน้า ได้แก่ บ้านเดี่ยวลดลง 46% บ้านแฝดลดลง 45% ทาวน์เฮาส์ลดลง 36% ขณะที่คอนโดมิเนียมลดลงในอัตราที่น้อยกว่า อยู่ที่ 11%

    ขณะเดียวกันพื้นที่หลักของประเทศ อย่างกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยอดขายมีสัญญาณลดลงอย่างต่อเนื่องและต่ำสุดในรอบ 7 ปี โดยมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 46,000 หน่วย มูลค่า 2.6 แสนล้านบาท ลดลง 21% หรือประมาณ 12,000 หน่วยจากปีก่อนที่มียอดขาย 58,258 หน่วย

    ปี 69 ยังชะลอตัว

    อย่างไรก็ดีคาดว่าสถานการณ์ตลาดอสังหา ปี 2569 ยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง อยู่ที่ประมาณ 6% จากอุปสงค์ของกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ที่คาดว่าจะเริ่มกลับมาอย่างช้าๆ ประกอบกับมาตรการกระตุ้นจากนโยบายของรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น เส้นทางรถไฟฟ้าส่วนขยาย การลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า และศูนย์ราชการแห่งใหม่ ตลอดจนโครงการของภาคเอกชนที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง

    ล้วนเป็นแรงขับเคลื่อนที่ช่วยหนุนการพัฒนาโครงการใหม่และเพิ่มมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่รอบนอก ในสภาพตลาดที่ระมัดระวังมากขึ้น ผู้ประกอบการหันมาพัฒนาโครงการขนาดเล็กลง เจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะ และให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้า เพื่อบริหารความเสี่ยงให้เหมาะสมกับระดับกำลังซื้อ ส่งผลให้ตลาดเริ่มปรับเข้าสู่ภาวะสมดุลมากขึ้น โดยคาดว่าจำนวนบ้านเหลือขายทั่วประเทศในปี 2569 จะลดลงเหลือประมาณ 207,998 หน่วย หรือลดลงราว 6% เมื่อเทียบปีก่อน

    อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่ต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะกลุ่มบ้านทาวน์เฮาส์ในระดับราคา 2-3 ล้านบาท และ 3-5 ล้านบาท ยังคงมีจำนวนยูนิตเหลือขายประมาณ 115,000 หน่วย หรือ ประมาณ 57% ของจำนวนยูนิตเหลือขายทั้งหมด กระจายอยู่ในหลายพื้นที่

    ขณะเดียวกัน กลุ่มบ้านเดี่ยวราคาสูง 25-50 ล้านบาท เป็นอีกเซ็กเมนต์ที่ต้องระวัง เนื่องจากมีจำนวนยูนิตเหลือขายเพิ่มขึ้นมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา อยู่ในระดับสูงถึง 3,000 หน่วย ที่ต้องใช้เวลา 5-6 ปี ในการขาย
 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ