นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สิงห์ เอสเตท เปิดเผยว่า ผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ปี 64 บริษัทสามารถพลิกขาดทุนจาก 3 ไตรมาสที่ผ่านมา มาเป็นกำไรสุทธิ 70 ล้านบาท จากการใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้า 99 ล้านบาท จากการส่งมอบห้องชุดโครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 ตลอดจนรายการทางบัญชีอื่น ๆ ที่ถูกบันทึกตามมาตรฐานการบัญชี สามารถชดเชยผลกระทบจากรายได้ที่ลดลงได้อย่างสมบูรณ์

          ส่วนรายได้อยู่ที่ 1,306 ล้านบาท ลดลง 40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากธุรกิจโรงแรมที่ยังได้รับผลกระทบจากวิกฤติ โควิด และการตัด บมจ.เนอวานา ไดอิ ออกจากงบการเงินรวมของสิงห์ เอสเตท หลังจากธุรกรรมการขายเงินลงทุนในเนอวานาแม้รายการถูกชดเชยบางส่วนด้วยรายได้จากโครงการ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส มูลค่าราว 360 ล้านบาท และรายได้เดือนมี.ค.จากธุรกิจโรงแรมเมอร์เคียวในสหราชอาณาจักรจำนวน 26 แห่ง

          อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ยังคงกดดันผลประกอบการของธุรกิจโรงแรม บริษัทได้เพิ่มสัดส่วนเงินลงทุนใน เอฟเอส เจวี จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายเดียวการประกอบธุรกิจโรงแรมในสหราชอาณาจักรเพื่อสร้างผลตอบแทนอย่างสม่าเสมอ และช่วยจัดพอร์ตโรงแรมให้สมดุลขึ้นโดยการลดผล กระทบด้านฤดูกาล เนื่องจากมีฤดูกาลท่องเที่ยวที่แตกต่างจากโรงแรมส่วนใหญ่ของกลุ่มสิงห์ เอสเตท

          นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท กล่าวว่า ช่วงไตรมาส 2 นี้ บริษัทได้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มจากแผนเดิม 7 โครงการ เป็น 10 โครงการ มูลค่ารวม 5,000-7,000 ล้านบาท เนื่องจากเชื่อมั่นว่าภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ปีนี้จะฟื้นตัวจากการที่ผู้ประกอบการธุรกิจเริ่มปรับตัวรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 และเริ่มทยอยฉีดวัคซีน หลังจากต้นปีที่ผ่านมาบริษัทเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น เห็นได้จากเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาแม้เกิดโควิดรอบ 3 บริษัทยังมียอดขาย 2,000 ล้านบาท หากเทียบกับช่วง 6 เดือนแรกของปี 63 ที่มียอดขายเพียง 3,500 ล้านบาท ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปีนี้ บริษัททำยอดขายได้ 6,940 ล้านบาท เติบโต 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 6,888 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 606 ล้านบาท สัดส่วนของยอดขายที่ได้มาจากทาวน์เฮาส์ 51% บ้านเดี่ยว 29% คอนโดมิเนียม 20%.