จี้รัฐทำโรดแมพฟื้นอสังหาฯ
Loading

จี้รัฐทำโรดแมพฟื้นอสังหาฯ

วันที่ : 2 ตุลาคม 2563
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เสนอรัฐจัดทำเเผนฟื้นอสังหาฯ กระตุ้นเศรษฐกิจ
           นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยผลสำรวจทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ว่า ยังมีแนวโน้มชะลอตัวไม่ต่ำกว่า 2 ปี โดยเริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมาตรการ Macroprudential หรือการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV -Loan to Value) และเริ่มกระทบอย่างหนักจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้คาดว่า ณ สิ้นในปี 2563 จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ 319,210 ยูนิต ลดลง 18.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 392,863 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 723,213 ล้านบาท ลดลง 22.3% ลดลงจากค่าเฉลี่ย 2 ปี ที่มีมูลค่า 933,021 ล้านบาท

          โดยคาดว่าต้องใช้เวลาถึง5ปี กว่าตลาดอสังหาฯ จะฟื้นกลับไปในจุดที่เติบโตสูงสุดในปี2561 ซึ่งมีการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ทั่วประเทศสูงสุดอยู่ที่702,900ล้านบาท ทั้งนี้ ผลสำรวจยังพบว่า จำนวนหน่วยเหลือขายในตลาดมีทิศทางสูงขึ้น โดยสิ้นปี 2563 คาดว่าจะมีหน่วยเหลือขายสูงสุดในรอบ 5 ปี หรืออาจจะเกินกว่า นั้น โดยในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมาพบว่า อัตราเหลือขายไม่ถึง 3 แสนหน่วย แต่หน่วยเหลือขายเริ่มทะลุ 3 แสนหน่วย อยู่ที่ 301,098 ยูนิตตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปี 2562 โดยในครึ่งแรกของปี2563 หน่วยเหลือขายลดลงเล็กน้อย อยู่ที่ 293,319 ยูนิต โดยเมื่อประเมินจากอัตราดูดซับที่มีแนวโน้มลดลง โดยในครึ่งหลังของ 2563 คาดว่าจะมีหน่วยเหลือขายเพิ่มขึ้นไปแตะ 319,528 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 1.4 ล้านล้านบาท ทิศทางหน่วยเหลือขายไม่หยุดแค่เท่านี้ ในสิ้นปี 2564 ยังจะทะยานเพิ่มขึ้นถึง 328,578 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 1.5 ล้านล้านบาท

          นายวิชัย ยังกล่าวว่า ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หากรัฐบาลจะใช้ภาคอสังหาฯ เป็นกลไกในการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะต้องส่งเสริมให้คนซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดยังมีอัตราการโอนกรรมสิทธิ์สูง และไม่ได้รับผลกระทบจากการปฏิเสธสินเชื่อเท่ากับตลาดที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท และถือว่ามีหน่วยเหลือขายในสัดส่วนสูง โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 พบว่าระดับราคา 3-5 ล้านบาทมีจำนวนหน่วยเหลือขาย รวมทั้งสิ้น 86,949 ยูนิตซึ่งถือเป็นอัตราส่วนที่เหลือขายอันดับ 2 รองจาก ตลาดบ้านราคา 2.01-3 ล้านบาท ที่มีจำนวน 91,763 ยูนิต แต่หากคิดเป็นมูลค่าเหลือขาย ที่อยู่อาศัยระดับราคา 3-5 ล้านบาท ถือว่ามีมูลค่าเหลือขายสูงสุดอันดับแรก มีมูลค่ารวม 356,500 ล้านบาท

          "หากรัฐกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ระดับราคา 3-5 ล้านบาท จะทำให้ตลาดอสังหาฯกลับมาคึกคัก เพราะเป็นตลาดที่มีหน่วยเหลือขายที่มีมูลค่าสูง อีกทั้งเป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อ โดยคาดว่า ในระดับราคา 3-5 ล้านบาท จะสร้างเสร็จพร้อมโอนฯ 18,800 หน่วย และอยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 30,410 หน่วย รวมมีจำนวน 49,000 หน่วย"

          ดังนั้นจึงเสนอให้รัฐขยายเพดานลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และจดจำนอง เหลือ 0.01% จากที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ขยับมาถึงราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งประเมินว่าจะทำให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 2 แสนล้านบาท

          "ในช่วงนี้ภาวะตลาดไม่ดี แม้ภาคเอกชนจะเร่งกระตุ้นตลาดผ่านการลดราคา เพื่อรักษาสภาพคล่อง แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาส 3 ยังพบว่า อารมณ์ (Sentiment)ของผู้ซื้อยังซบเซา โดยคาดว่าจะชะลอตัวจนถึงสิ้นปีหน้า จึงเสนอให้ภาครัฐกระตุ้นตลาดด้วยมาตรการดังกล่าว จะจูงใจให้คนตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น ทำให้ตลาดกลับมาเติบโตจากเดิมสมมติฐานปกติ (Base case) หากไม่มีการกระตุ้นจะทำให้การปล่อยสินเชื่อใหม่ ในสิ้นปี 2563 ติดลบ 15.2% ขยับเป็นสมมติฐานดีที่สุด (Best case) ติด ลบ 10.8% และทำให้คาดการณ์สินเชื่อ ในปี 2564 ในกรณี Base case อยู่ที่ 1.3% และในกรณี Best case ขยายตัว 8.1%

          นอกจากนี้ภาครัฐควรจัดตั้งคณะทำงานและกำหนดระยะเวลา (ไทม์ไลน์) ทำโรดแมพขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ จาก 21 มาตรการที่ภาคอสังหาฯได้เข้าพบพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งนำเสนอมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ โดยมีการจัดทำแผนสร้างร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชนอย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม