คอลัมน์ STOCK GOSSIP: หุ้นอสังหาฯไม่สะเทือนคง แอลทีวี ลุ้นคืนชีพครึ่งปีหลัง
วันที่ : 14 กันยายน 2563
ธปท.ดับฝัน ไม่ยกเลิก เกณฑ์ LTV
อาชวินท์ สุกสี
กรุงเทพธุรกิจ
เรียกว่า "ดับฝัน" กันเลยทีเดียว หลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาย้ำว่า มาตรการคุมเข้มสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ"แอลทีวี" ซึ่งบังคับใช้มาตั้งแต่เดือน เม.ย. 2562 ยังมีความจำเป็น ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อ การขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ แน่นอนว่าย่อมสร้างความผิดหวังให้กับบรรดาผู้ประกอบการที่ส่วนใหญ่อยากให้ยกเลิก พักใช้ชั่วคราว หรือ ผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มลง เนื่องจากกำลังซื้อยังคงหดหาย ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาหนัก จากผลกระทบของโรคระบาดโควิด-19
โดยในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา กลุ่มตัวแทน ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าร่วมหารือกับนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมยื่นแนวทางข้อเสนอแนะในการฟื้นคืนชีพตลาดอสังหาฯ
มาตรการที่ผู้ประกอบการต้องการมากที่สุด คือ การผ่อนปรนมาตรการแอลทีวีเพราะมองว่าเป็นอุปสรรคสำคัญในการ ยื่นกู้ซื้อบ้าน เนื่องจากแบงก์ต้องเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ผู้ซื้อต้องวางเงินดาวน์เพิ่ม กลายเป็นปัจจัยถ่วงทำให้ตลาดซบเซาต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา แต่ในมุมหน่วยงานกำกับดูแลกลับมองตรงกันข้าม โดย ธปท. ให้เหตุผลถึงความจำเป็น ที่จะต้องคงมาตรการแอลทีวีต่อไปว่า ได้มีการผ่อนเกณฑ์มาแล้วถึง 2 ครั้ง สำหรับ ผู้กู้ร่วมและกรณีบ้านหลังแรกราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท สามารถกู้ได้เต็มราคาบ้าน แถมยังเปิดให้กู้เพิ่มได้อีก 10% เพื่อนำไปใช้เป็นค่าตกแต่งเพิ่มเติม ส่วนบ้านหลังที่สองกู้ได้ถึง 90% ของราคาบ้าน ที่สำคัญยอดสินเชื่อบ้านยังคงขยายตัว ต่อเนื่อง โดยสินเชื่อบ้านทั้งระบบในไตรมาส 2 ปี 2563 เติบโต 4.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แม้จะเกิดการระบาดของโควิด-19 จึงสะท้อน ให้เห็นว่ามาตรการแอลทีวีไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับคนที่ต้องการกู้ซื้อบ้าน
แม้สัญญาณจาก ธปท. จะสร้าง ความผิดหวังให้กับตลาด แต่คงไม่ส่ง ผลกระทบต่อภาพรวมตลาดอสังหาฯ และราคาหุ้นในกลุ่มไปมากกว่านี้ โดยปีนี้ ราคาหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ปรับตัวลงมาแล้วเกือบ 30% มากกว่า SET Index ที่ลงไปเกือบ 20% ท่ามกลางปัจจัยลบที่โหมกระหน่ำ
โควิด-19 เข้ามาซ้ำเติมกำลังซื้อที่อ่อนแออยู่แล้วทรุดลงไปอีก ส่งผลให้ยอดโอน ลดฮวบ หลายบริษัทตัดสินใจเลื่อนเปิดตัวโครงการใหม่ออกไปก่อน หันมาอัด โปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม เพื่อระบาย สต็อกของเดิม หวังเติมเงินสดช่วย ประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอด จึงไม่แปลก ที่ผลประกอบการครึ่งปีแรกออกมา น่าผิดหวัง
โดยข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ พบว่า มูลค่ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯและปริมณฑล ครึ่งแรกปี 2563 อยู่ที่ 270,435 ล้านบาท ลดลง 5.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 285,348 ล้านบาท สอดคล้องกับยอด สินเชื่อบ้านที่ปล่อยใหม่ทั่วประเทศครึ่งปีแรก มีมูลค่ารวม 280,037 ล้านบาท ลดลง 10.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 314,068 ล้านบาท
ส่วนการเปิดขายโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ครึ่งแรกปี 2563 มี 126 โครงการ ลดลง 40.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 211 โครงการ หรือ คิดเป็นมูลค่ารวม 159,470 ล้านบาท ลดลง 23.2% จากระดับ 207,560 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสถานการณ์ ในครึ่งปีหลังจะค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้น หลังโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ภาคธุรกิจกลับมาเดินเครื่องอีกครั้ง น่าจะได้เห็นยอดเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้น แต่ละเจ้าคงต้องเร่งอัดโปรโมชั่นปั๊มยอดขายกันอย่างเต็มที่เพื่อปิดตัวเลขสิ้นปี
หนุนผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ทำจุดสูงสุดของปี เพราะโดยปกติเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอยู่แล้ว นอกจากนี้ คงต้องรอดูว่าจะมีมาตรการจากภาครัฐออกมาช่วยเหลือเพิ่มเติมหรือไม่ แม้แอลทีวียังไม่ยกเลิก แต่ก็มีอีกหลายมาตรการที่ยื่นเสนอไป
เช่น ขยายการลดค่าโอนและจดจำนอง เหลือ 0.01% จากบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท เป็น 5 ล้านบาท, สิทธิพิเศษจากบีโอไอ จากบ้านราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 1.5 ล้านบาท รวมไปถึงการส่งเสริมให้ต่างชาติเข้ามา ซื้ออสังหาฯ ในไทย ถ้าสุดท้ายแล้วรัฐยื่นมือเข้ามาจะช่วยต่อลมหายใจให้กับธุรกิจ รอวันที่สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ ด้านบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ราคาหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ปรับตัวลงมามากแล้ว ทำให้เริ่มน่าสนใจ ประกอบกับมีจุดเด่นเงินปันผลสูงเฉลี่ยกว่า 5% ต่อปี แต่ควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว เช่น บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP มีพอร์ตสินค้าทั้งแนวราบและคอนโด ครอบคลุมทุกระดับราคา และยอดขายรอโอนที่สูงถึง 4.6 หมื่นล้านบาท
กรุงเทพธุรกิจ
เรียกว่า "ดับฝัน" กันเลยทีเดียว หลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาย้ำว่า มาตรการคุมเข้มสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ"แอลทีวี" ซึ่งบังคับใช้มาตั้งแต่เดือน เม.ย. 2562 ยังมีความจำเป็น ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อ การขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ แน่นอนว่าย่อมสร้างความผิดหวังให้กับบรรดาผู้ประกอบการที่ส่วนใหญ่อยากให้ยกเลิก พักใช้ชั่วคราว หรือ ผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มลง เนื่องจากกำลังซื้อยังคงหดหาย ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาหนัก จากผลกระทบของโรคระบาดโควิด-19
โดยในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา กลุ่มตัวแทน ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าร่วมหารือกับนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมยื่นแนวทางข้อเสนอแนะในการฟื้นคืนชีพตลาดอสังหาฯ
มาตรการที่ผู้ประกอบการต้องการมากที่สุด คือ การผ่อนปรนมาตรการแอลทีวีเพราะมองว่าเป็นอุปสรรคสำคัญในการ ยื่นกู้ซื้อบ้าน เนื่องจากแบงก์ต้องเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ผู้ซื้อต้องวางเงินดาวน์เพิ่ม กลายเป็นปัจจัยถ่วงทำให้ตลาดซบเซาต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา แต่ในมุมหน่วยงานกำกับดูแลกลับมองตรงกันข้าม โดย ธปท. ให้เหตุผลถึงความจำเป็น ที่จะต้องคงมาตรการแอลทีวีต่อไปว่า ได้มีการผ่อนเกณฑ์มาแล้วถึง 2 ครั้ง สำหรับ ผู้กู้ร่วมและกรณีบ้านหลังแรกราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท สามารถกู้ได้เต็มราคาบ้าน แถมยังเปิดให้กู้เพิ่มได้อีก 10% เพื่อนำไปใช้เป็นค่าตกแต่งเพิ่มเติม ส่วนบ้านหลังที่สองกู้ได้ถึง 90% ของราคาบ้าน ที่สำคัญยอดสินเชื่อบ้านยังคงขยายตัว ต่อเนื่อง โดยสินเชื่อบ้านทั้งระบบในไตรมาส 2 ปี 2563 เติบโต 4.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แม้จะเกิดการระบาดของโควิด-19 จึงสะท้อน ให้เห็นว่ามาตรการแอลทีวีไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับคนที่ต้องการกู้ซื้อบ้าน
แม้สัญญาณจาก ธปท. จะสร้าง ความผิดหวังให้กับตลาด แต่คงไม่ส่ง ผลกระทบต่อภาพรวมตลาดอสังหาฯ และราคาหุ้นในกลุ่มไปมากกว่านี้ โดยปีนี้ ราคาหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ปรับตัวลงมาแล้วเกือบ 30% มากกว่า SET Index ที่ลงไปเกือบ 20% ท่ามกลางปัจจัยลบที่โหมกระหน่ำ
โควิด-19 เข้ามาซ้ำเติมกำลังซื้อที่อ่อนแออยู่แล้วทรุดลงไปอีก ส่งผลให้ยอดโอน ลดฮวบ หลายบริษัทตัดสินใจเลื่อนเปิดตัวโครงการใหม่ออกไปก่อน หันมาอัด โปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม เพื่อระบาย สต็อกของเดิม หวังเติมเงินสดช่วย ประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอด จึงไม่แปลก ที่ผลประกอบการครึ่งปีแรกออกมา น่าผิดหวัง
โดยข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ พบว่า มูลค่ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯและปริมณฑล ครึ่งแรกปี 2563 อยู่ที่ 270,435 ล้านบาท ลดลง 5.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 285,348 ล้านบาท สอดคล้องกับยอด สินเชื่อบ้านที่ปล่อยใหม่ทั่วประเทศครึ่งปีแรก มีมูลค่ารวม 280,037 ล้านบาท ลดลง 10.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 314,068 ล้านบาท
ส่วนการเปิดขายโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ครึ่งแรกปี 2563 มี 126 โครงการ ลดลง 40.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 211 โครงการ หรือ คิดเป็นมูลค่ารวม 159,470 ล้านบาท ลดลง 23.2% จากระดับ 207,560 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสถานการณ์ ในครึ่งปีหลังจะค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้น หลังโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ภาคธุรกิจกลับมาเดินเครื่องอีกครั้ง น่าจะได้เห็นยอดเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้น แต่ละเจ้าคงต้องเร่งอัดโปรโมชั่นปั๊มยอดขายกันอย่างเต็มที่เพื่อปิดตัวเลขสิ้นปี
หนุนผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ทำจุดสูงสุดของปี เพราะโดยปกติเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอยู่แล้ว นอกจากนี้ คงต้องรอดูว่าจะมีมาตรการจากภาครัฐออกมาช่วยเหลือเพิ่มเติมหรือไม่ แม้แอลทีวียังไม่ยกเลิก แต่ก็มีอีกหลายมาตรการที่ยื่นเสนอไป
เช่น ขยายการลดค่าโอนและจดจำนอง เหลือ 0.01% จากบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท เป็น 5 ล้านบาท, สิทธิพิเศษจากบีโอไอ จากบ้านราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 1.5 ล้านบาท รวมไปถึงการส่งเสริมให้ต่างชาติเข้ามา ซื้ออสังหาฯ ในไทย ถ้าสุดท้ายแล้วรัฐยื่นมือเข้ามาจะช่วยต่อลมหายใจให้กับธุรกิจ รอวันที่สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ ด้านบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ราคาหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ปรับตัวลงมามากแล้ว ทำให้เริ่มน่าสนใจ ประกอบกับมีจุดเด่นเงินปันผลสูงเฉลี่ยกว่า 5% ต่อปี แต่ควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว เช่น บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP มีพอร์ตสินค้าทั้งแนวราบและคอนโด ครอบคลุมทุกระดับราคา และยอดขายรอโอนที่สูงถึง 4.6 หมื่นล้านบาท
ข่าว reic จากสื่อสิ่งพิมพ์ อื่นๆ