ธปท.ผ่อนเกณฑ์ คลินิกแก้หนี้
Loading

ธปท.ผ่อนเกณฑ์ คลินิกแก้หนี้

วันที่ : 18 กรกฎาคม 2563
แบงก์ชาติ ผ่อนเกณฑ์ คลินิกแก้หนี้
           ขยายเวลาก่อน 1 ก.ค.-เปิดทาง'กู้เพิ่ม'ได้ หลังผ่อนชำระเกินครึ่ง

          "แซม" เร่งขายเอ็นพีเอ  ลดกระหน่ำ 30%  ถึง 31 ก.ค.นี้

          "แบงก์ชาติ" ผ่อนเกณฑ์ คลินิกแก้หนี้ หวังเปิดทางลูกหนี้เข้าโครงการมากขึ้น โดยขยับช่วงเวลาเป็นหนี้เสียก่อน 1 ก.ค.63 พร้อมผ่อนเกณฑ์ห้ามก่อหนี้ใหม่ 5 ปี โดยผู้ที่ผ่อนชำระแล้วเกินครึ่งหนึ่ง สามารถกู้เงินเพิ่มได้ ด้าน "แซม" คาด ช่วยดึงผู้เข้าร่วมโครงการมากขึ้น พร้อมเปิดแผนงานบริษัท นำ "เอ็นพีเอ" ออกขาย โดยลดกระหน่ำ 30% ระหว่าง 20-31 ก.ค.นี้

          นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วย ผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการคลินิกแก้หนี้ เห็นชอบให้ปรับปรุงเงื่อนไขของโครงการ 2 เรื่อง เพื่อขยายความช่วยเหลือลูกหนี้ ในวงกว้างมากขึ้น

          ด้านแรก ได้ปรับคุณสมบัติผู้สมัคร เข้าโครงการ จากเดิมผู้สมัครต้องเป็นหนี้เสีย หรือ "เอ็นพีแอล" ก่อนวันที่ 1 ม.ค.2563 มาเป็น 1 ก.ค.2563 เพื่อขยายความช่วยเหลือ รองรับลูกหนี้ที่เป็นเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น จากผลกระทบโควิด-19 ซึ่งคาดว่าหลังจากปรับเงื่อนไง ลูกหนี้น่าจะสมัครเข้าโครงการจำนวนมาก

          ด้านที่สอง มีการปรับเกณฑ์ ห้าม ก่อหนี้ใหม่ให้ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยให้ผู้เข้า โครงการที่สามารถผ่อนชำระเงินต้นได้ อย่างน้อย 50% สามารถขอสินเชื่อใหม่ได้ จากเดิมห้ามผู้เข้าโครงการ ก่อหนี้ใหม่ภายใน 5 ปี โดยการปรับเกณฑ์ในครั้งนี้มุ่งหวัง เพื่อจูงใจให้ลูกหนี้สมัครเข้าโครงการมากขึ้น เพราะบางส่วนกังวลเรื่องห้ามก่อหนี้ใหม่  5 ปี อีกทั้งเพื่อจูงใจให้ลูกหนี้เร่งชำระหนี้คืน หรือชำระหนี้เมื่อมีเงินก้อนถ้ายังพอมี ความสามารถ

          ด้านที่สาม มีการปรับมาตรการระยะที่ 2 ให้ดีขึ้น เพื่อรองรับกลุ่มที่เป็นเอ็นพีแอล โดยผู้ให้บริการทางการเงิน จะต้องจัดให้มีช่องทางหรือกลไกแก้ไขหนี้ ในลักษณะเดียวกับคลินิกแก้หนี้ รวมทั้งการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ที่เอื้อต่อการผ่อนชำระ เช่นเดียวกับ โครงการคลินิกแก้หนี้ ดังนั้น หากลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสีย นอกจากจะสมัครเข้าโครงการแล้ว ยังสามารถขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรนกับผู้ให้บริการทางการเงินได้

          ทั้งนี้ หากมองไปข้างหน้า ผลกระทบ โควิด-19 จะส่งผลให้มีลูกหนี้บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล มีแนวโน้มกลายเป็นหนี้เสียมากขึ้น ดังนั้นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ จะเป็นทางออก เพื่อช่วยป้องกัน ไม่ให้ ปัญหาหนี้บัตรของลูกหนี้รายย่อยจำนวนมาก ลุกลามกลายเป็นวิกฤติหนี้รายย่อยที่ อาจจะมีการฟ้องร้องดำเนินคดี ยึดทรัพย์ในวงกว้าง ซึ่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสังคมที่จะเกิดขึ้นไม่สามารถประเมินเป็นตัวเงินได้

          ด้านนายนิตย มาศะวิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด หรือ SAM กล่าวว่า การปรับเกณฑ์ คลินิกแก้หนี้ ของธปท.ครั้งนี้ น่าจะเป็นการ เปิดโอกาสให้ลูกหนี้ใหม่จำนวนมาก ที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 และลูกหนี้ใหม่ ที่เกิดขึ้นในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาสามารถ เข้าโครงการได้ เพราะก่อนหน้า มีลูกหนี้ บางส่วนที่ไม่ผ่านคุณสมบัติ  เพราะเป็นหนี้เสีย หลัง ม.ค.2563 จึงเชื่อว่าโครงการนี้จะช่วยแก้ปัญหาหนี้เสียให้กับลูกหนี้ได้มากยิ่งขึ้น

          ทั้งนี้ คาดว่า จะมีลูกหนี้จำนวนมาก ยื่นขอเข้าโครงการคลินิกแก้หนี้ หลัง ปรับเกณฑ์ โดยมีโอกาสที่จะเห็นลูกหนี้ ลงนามเข้าโครงการสำเร็จในปีนี้เกิน 10,000 ราย หรือมีโอกาสไปถึงระดับ 15,000 ราย หรือเพิ่มขึ้น 3 เท่า หากเทียบกับปัจจุบัน ที่มีจำนวนลูกหนี้เข้าโครงการสะสมแล้ว 6.2 พันราย ทั้งนี้หากนับตั้งแต่ต้นปี จนถึงปัจจุบัน พบว่ามีลูกหนี้ที่ยื่นความจำนง ขอเข้าโครงการราว 3 หมื่นราย โดยเซ็นสัญญา เข้าโครงการแล้ว 3 พันราย และอยู่ระหว่างลงนามเพิ่มอีก 1.7 พันราย โดยหนี้ส่วนใหญ่เฉลี่ยอยู่ที่ 2.8 แสนบาทต่อคน หรือต่อคนมีหนี้ 3 บัตร

          "ผลกระทบจากโควิด-19 มา คลินิกแก้หนี้ ก็มีการปรับเกณฑ์ด้านดอกเบี้ยด้วย โดยลดดอกเบี้ยลงเหลือ 2-5% จากเดิม ที่ 4-7% และเรายังพักหนี้ให้ถึง 6 เดือนจนถึงก.ย. นี้"

          นอกจากนี้ บริษัทยังได้นำสินทรัพย์ รอการขาย หรือเอ็นพีเอ ออกมาลดราคา มากขึ้น สูงสุด 30% เป็นกรณีพิเศษ ในช่วง โควิด-19 หรือภายในแคมเปญ "Final Call" ลดสะใจ โอกาสสุดท้ายก่อนปรับราคา ระหว่างวันที่ 20-31 ก.ค.2563 ซึ่งเป็นการขายสินทรัพย์รอการขายที่ยิ่งใหญ่สุดในรอบ 20 ปี ดังนั้น ในช่วงที่ราคาสินทรัพย์มีราคาถูก ซึ่งน่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ซื้อมากขึ้น ทั้ง ที่ดินเปล่า คอนโด บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ อาคารพาณิชย์ ฯลฯ อีกทั้งยังมีโปรโมชั่นพิเศษ เช่น ฟรีค่าโอน 0.5-1% และ Gift Card มูลค่าถึง 5 หมื่นบาทด้วย

          โดยบริษัทตั้งเป้าหมายในการขาย สินทรัพย์รอการขายปีนี้ ราว 2.5 พันล้านบาท จากสินทรัพย์ คงค้างที่มีกว่า 2 หมื่นล้านบาท หรือราว 3 พันรายการ

          การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ จะเป็นทางออก เพื่อช่วยป้องกัน  ไม่ให้ปัญหาหนี้บัตรของลูกหนี้รายย่อยจำนวนมาก ลุกลามกลายเป็นวิกฤติ
ข่าวนโยบายการเงิน-การคลัง อื่นๆ