น.ส.เกวลิน หวังพิชญสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยฯคาดว่าในปีนี้จะมีที่อยู่อาศัยเหลือคงค้าง 190,000 ยูนิต โดยเฉพาะค้างขายสะสมในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียม ซึ่งจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะยังมีความท้าทายเรื่องระยะเวลาในการขาย อาจต้องใช้เวลานานขึ้น แต่เชื่อว่าจะไม่เกิดผลกระทบกับทั้งระบบอสังหา ริมทรัพย์ แต่อาจกระทบเป็นแต่ละรายมากกว่า และยังเชื่อว่าไม่ใช่จุดเริ่มต้นของการนำไปสู่ความเสี่ยงเชิงระบบเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงวิกฤติปี 40

          ขณะที่จำนวนที่อยู่อาศัยที่ขายได้ในปี60 มี 92,000 ยูนิต ได้รับอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงินคิดเป็น 70% ซื้อโดยชาวต่างชาติ 12%และที่เหลือจะซื้อด้วยเงินสด ตัวแทนการขาย บริษัทลูก อีก 15-20% โดยข้อกังวลต่อประเด็นความต้องการซื้อที่อาจไม่ได้เป็นความต้องการซื้อที่แท้จริงพบว่า ข้อมูลส่วนใหญ่จะเป็นที่อยู่อาศัยมือหนึ่ง ไม่ได้มีระบุว่าเคยผ่านมือหรือเป็นมือสอง จึงยังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร

          นอกจากนี้ ธปท.จะมีมาตรการแมคโครพรูเด็นเชี่ยล  เพื่อดูแลอสังหาริมทรัพย์ เชื่อว่าจะช่วยให้ตลาดปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นและทำให้สินเชื่อมีคุณภาพที่ดีมากขึ้น แต่ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ยังเผชิญความท้าทายในระยะข้างหน้าทั้งภาวะตลาดที่ตึงตัว อัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปีหน้า และจำนวนที่อยู่อาศัยค้างขายสะสมที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงทำให้อาจต้องใช้เวลาในการระบายออกที่นานขึ้น

          น.ส.ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ศูนย์วิจัยฯได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี)ปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 4.6% จากเดิมคาดว่าขยายตัว 4.5% โดยมองว่าครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยจะผ่อนแรงลงจากส่งออกและการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีน ส่วนข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในปี 61 ในวงจำกัด และจะมีมากขึ้นต่อเนื่องถึงปี62