ใช้เครื่องมือการเงินปั๊มศก. คาดปีหน้าลงทุนอีอีซีช่วย

          นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมายังชะลอตัว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ทำให้กระทบต่อภาคการส่งออกสินค้าของไทย ในขณะที่การนำเข้า ได้ชะลอตัวลงด้วย ซึ่ง ธปท. เตรียมปรับประมาณการทางเศรษฐกิจในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในเดือน ธ.ค. นี้ใหม่อีกครั้ง โดยขอย้ำว่าหากเศรษฐกิจขยายตัวไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ทางธปท. พร้อมใช้เครื่องมือนโยบายการเงินในการดูแลเศรษฐกิจไทย

          ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยในปี 63 เชื่อว่าจะขยายตัวดีขึ้นกว่าปีนี้ เนื่องจากมีการเบิกจ่ายงบประมาณปี 63 ที่เริ่มใช้ได้ในไตรมาสแรกปีหน้า ทำให้มีโครงการลงทุนภาครัฐเข้ามามาก และผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล รวมทั้งมีการลงทุนเอกชน เช่น การย้ายฐานการผลิตโดยเฉพาะในเขตพื้นที่อีอีซี ซึ่งเข้ามาช่วยให้ภาคการผลิตและการส่งออกของไทยดีขึ้นในปี 63 แต่ยังต้องติดตามความเสี่ยงจากสงครามการค้า ความไม่แน่นอนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งคาดเดาได้ยากว่าจะมีมาตรการอะไรออกมาเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ทำให้ยังเป็นความเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

          "ในช่วงที่นโยบายการเงินและนโยบายการคลังเผชิญขีดจำกัด ทำให้ไม่มีความสามารถทำนโยบายการเงินแบบแรง ๆ เหมือนกับในอดีตที่เคยเกิดขึ้นในช่วงวิกฤติการเงินโลกปี 50-51 ซึ่งลดลงระดับ 3% มาอยู่ที่ 1.25% ถือ ว่าเป็นการใช้ยาแรง แต่ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำมากที่ 1.25% ไม่สามารถเป็นยาแรงแบบเดิมได้ และไม่คิดว่าไทยมีอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ติดลบ ไม่ใช่เวลาที่จะทำเพราะเป็นการสร้างปัญหาด้านเสถียรภาพมากขึ้น"

          นอกจากนี้ต้องติดตามอัตราแลกเปลี่ยนเพราะมีความผันผวนสูงขึ้น แต่ไม่สามารถคาดทิศทางว่าเงินบาทอ่อนหรือแข็งค่าได้ ทำให้ภาคเอกชนต้องรับมือและมีการบริหารจัดการความเสี่ยงให้ดี โดยเงินบาทปัจจุบันแข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทย ขณะที่ตามแผนยุทธศาสตร์ 3 ปี ของ ธปท. หรือช่วงปี 63-65 จะมีการทบทวน พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตรา ให้มีความเท่าทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะกฎหมายฉบับเดิมมีการใช้มานานมากแล้ว ขณะเดียวกัน นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ได้เห็นชอบในหลักการจัดตั้งคณะกรรมการเสถียรภาพระบบการเงินแล้ว ซึ่งหลังจากนี้จะจัดตั้งคณะกรรมการต่อไป

          นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวว่า จะหาเครื่องมือและหาวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อให้การส่งผ่านนโยบายการเงินไปสู่ผู้เล่นหน้าใหม่ นอกเหนือจากสถาบันการเงิน หรืออาจส่งผ่านโดยตรงไปยังตลาดเงิน ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ระยะ 3 ปีหลังจากนี้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องแก้ไขหนี้ครัวเรือนช่วงที่ผ่านมา ธปท. ได้ทำงานกับพันธมิตรต่าง ๆ ในการส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และทำงานกับธนาคารพาณิชย์เกิดโครงการคลินิกแก้หนี้ เพื่อเข้าช่วยเหลือลูกหนี้ที่เป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอลให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น