สิงห์เอสเตท สบช่องบาทแข็งลุยซื้อโรงแรม เอเชีย-ยุโรป
วันที่ : 27 กันยายน 2562
นายนริศ เชยกลิ่น ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจาก ปี 2562 เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยว รายได้ ทิศทางต่อไปในปี 2563 จะเป็น ปีแห่งการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จากทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ โรงแรม ที่อยู่อาศัย และอาคารสำนักงานกับพื้นที่ค้าปลีก
"สิงห์เอสเตท"ดัน "SHR" ขยายพอร์ตโรงแรม 80 แห่งทั่วโลก โตดับเบิลในปี 2568 สบช่องบาทแข็ง เร่งสปีดแผนซื้อกิจการโรงแรมทั่วเอเชียแปซิฟิก-ยุโรป
นายนริศ เชยกลิ่น ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจาก ปี 2562 เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยว รายได้ ทิศทางต่อไปในปี 2563 จะเป็น ปีแห่งการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จากทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ โรงแรม ที่อยู่อาศัย และอาคารสำนักงานกับพื้นที่ค้าปลีก
เมื่อดูเฉพาะกลุ่มโรงแรม ซึ่งอยู่ ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทลูก อย่าง เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) และมีแผนจะนำเข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เดือน พ.ย.นี้ คาดว่าปีนี้จะเห็นรายได้ แบบเต็มปีจากการเข้าซื้อโรงแรม เอาท์ริกเกอร์ 6 โรงแรมใน 4 ประเทศ เมื่อเดือน มิ.ย. 2561 และการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน หรือมิกซ์ยูสระดับเมกะโปรเจคชื่อ "ครอสโรดส์" ที่มัลดีฟส์ ถือเป็นโครงการ ลงทุนต่างประเทศใหญ่ที่สุดของบริษัทฯ เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อกลางเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา มี 2 โรงแรมให้บริการซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้กว่า 2,000 ล้านบาทต่อปี
"ในช่วงเงินบาทแข็งค่า มองว่า เป็นจังหวะดีที่ต้องเร่งสปีดในการเก็บเกี่ยวดีลซื้อกิจการโรงแรมใน ต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยมองการเข้าซื้อกิจการแบบทั้งกรุ๊ป เพราะทำให้ธุรกิจโตเร็ว เน้นโรงแรมระดับ 3.5-4 ดาว ทั้งในเอเชียแปซิฟิกและยุโรป"
ขณะที่ภายในปี 2568 SHR ตั้งเป้าขยายจำนวนโรงแรมและห้องพัก เติบโต 2 เท่า จากปัจจุบันมี 39 โรงแรม เป็น 80 โรงแรมทั้งในไทยและ ต่างประเทศ ผ่าน 4 รูปแบบ ได้แก่ 1.โรงแรมที่เป็นเจ้าของและบริหารเอง 2.โรงแรมที่บริหารผ่าน Franchise Agreement กับแบรนด์ระดับโลก 3.โรงแรมที่บริหารผ่านสัญญาบริหารจัดการโรงแรม และ 4.โรงแรมที่บริหารผ่านแบรนด์ที่ SHR สร้างขึ้นมาเอง ขณะนี้มีแล้ว 1 แบรนด์ คือ SAii เปิดที่มัลดีฟ์เป็นแห่งแรก และอีก 1 แบรนด์อยู่ระหว่างการพัฒนา
"คาดว่า ในปี 2568 จะทำให้ SHR มีรายได้เติบโต 3 เท่าจากปัจจุบัน และทำให้สัดส่วนรายได้จากกลุ่ม โรงแรมมีมากกว่า 50% ของรายได้ สิงห์เอสเตททั้งหมด"
นายเดิร์ก เดอ ไคย์เปอร์ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร SHR กล่าวเสริมว่า จากการรุกขยายธุรกิจโรงแรมใน ต่างประเทศ คาดว่าในปี 2568 สัดส่วน จะเพิ่มเป็น 70-75% จากปัจจุบันอยู่ที่ 60% ขณะที่โรงแรมในไทย สัดส่วน จะลดลงมาอยู่ที่ 25-30% ทั้งนี้มองว่าปี 2562 กลุ่มธุรกิจโรงแรมจะมีรายได้ประมาณ 4,000 ล้านบาท
นายนริศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านกลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ ค้าปลีก บริษัทฯมีแผนพัฒนาโครงการ มิกซ์ยูสใหม่ ภายใต้ชื่อ "เอส โอเอสซิส" บนถนนวิภาวดี-รังสิต มูลค่า 3,695 ล้านบาท ความสูง 36 ชั้น มีพื้นที่ให้เช่า (NLA) ประมาณ 53,000 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นพื้นที่สำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีกบางส่วน ซึ่งจะใช้เวลาในการพัฒนาโครงการประมาณ 3 ปี โดยได้เริ่มการก่อสร้างในปีนี้
สำหรับแผนงานระยะยาว บริษัทฯ คาดการณ์งบลงทุนในการขยายธุรกิจ คอมเมอร์เชียลไว้ประมาณ 15,000 ล้านบาทสำหรับ 4 ปี (ระหว่างปี 2562- 2566) ส่วนกลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย บริษัทฯมียอดขายที่รอรับรู้รายได้จาก การโอน(Backlog) ของคอนโดมิเนียม มูลค่า 4,400 ล้านบาท จากโครงการ The ESSE Asoke และ The ESSE at SINGHA COMPLEX
นายนริศ เชยกลิ่น ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจาก ปี 2562 เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยว รายได้ ทิศทางต่อไปในปี 2563 จะเป็น ปีแห่งการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จากทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ โรงแรม ที่อยู่อาศัย และอาคารสำนักงานกับพื้นที่ค้าปลีก
เมื่อดูเฉพาะกลุ่มโรงแรม ซึ่งอยู่ ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทลูก อย่าง เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) และมีแผนจะนำเข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เดือน พ.ย.นี้ คาดว่าปีนี้จะเห็นรายได้ แบบเต็มปีจากการเข้าซื้อโรงแรม เอาท์ริกเกอร์ 6 โรงแรมใน 4 ประเทศ เมื่อเดือน มิ.ย. 2561 และการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน หรือมิกซ์ยูสระดับเมกะโปรเจคชื่อ "ครอสโรดส์" ที่มัลดีฟส์ ถือเป็นโครงการ ลงทุนต่างประเทศใหญ่ที่สุดของบริษัทฯ เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อกลางเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา มี 2 โรงแรมให้บริการซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้กว่า 2,000 ล้านบาทต่อปี
"ในช่วงเงินบาทแข็งค่า มองว่า เป็นจังหวะดีที่ต้องเร่งสปีดในการเก็บเกี่ยวดีลซื้อกิจการโรงแรมใน ต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยมองการเข้าซื้อกิจการแบบทั้งกรุ๊ป เพราะทำให้ธุรกิจโตเร็ว เน้นโรงแรมระดับ 3.5-4 ดาว ทั้งในเอเชียแปซิฟิกและยุโรป"
ขณะที่ภายในปี 2568 SHR ตั้งเป้าขยายจำนวนโรงแรมและห้องพัก เติบโต 2 เท่า จากปัจจุบันมี 39 โรงแรม เป็น 80 โรงแรมทั้งในไทยและ ต่างประเทศ ผ่าน 4 รูปแบบ ได้แก่ 1.โรงแรมที่เป็นเจ้าของและบริหารเอง 2.โรงแรมที่บริหารผ่าน Franchise Agreement กับแบรนด์ระดับโลก 3.โรงแรมที่บริหารผ่านสัญญาบริหารจัดการโรงแรม และ 4.โรงแรมที่บริหารผ่านแบรนด์ที่ SHR สร้างขึ้นมาเอง ขณะนี้มีแล้ว 1 แบรนด์ คือ SAii เปิดที่มัลดีฟ์เป็นแห่งแรก และอีก 1 แบรนด์อยู่ระหว่างการพัฒนา
"คาดว่า ในปี 2568 จะทำให้ SHR มีรายได้เติบโต 3 เท่าจากปัจจุบัน และทำให้สัดส่วนรายได้จากกลุ่ม โรงแรมมีมากกว่า 50% ของรายได้ สิงห์เอสเตททั้งหมด"
นายเดิร์ก เดอ ไคย์เปอร์ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร SHR กล่าวเสริมว่า จากการรุกขยายธุรกิจโรงแรมใน ต่างประเทศ คาดว่าในปี 2568 สัดส่วน จะเพิ่มเป็น 70-75% จากปัจจุบันอยู่ที่ 60% ขณะที่โรงแรมในไทย สัดส่วน จะลดลงมาอยู่ที่ 25-30% ทั้งนี้มองว่าปี 2562 กลุ่มธุรกิจโรงแรมจะมีรายได้ประมาณ 4,000 ล้านบาท
นายนริศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านกลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ ค้าปลีก บริษัทฯมีแผนพัฒนาโครงการ มิกซ์ยูสใหม่ ภายใต้ชื่อ "เอส โอเอสซิส" บนถนนวิภาวดี-รังสิต มูลค่า 3,695 ล้านบาท ความสูง 36 ชั้น มีพื้นที่ให้เช่า (NLA) ประมาณ 53,000 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นพื้นที่สำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีกบางส่วน ซึ่งจะใช้เวลาในการพัฒนาโครงการประมาณ 3 ปี โดยได้เริ่มการก่อสร้างในปีนี้
สำหรับแผนงานระยะยาว บริษัทฯ คาดการณ์งบลงทุนในการขยายธุรกิจ คอมเมอร์เชียลไว้ประมาณ 15,000 ล้านบาทสำหรับ 4 ปี (ระหว่างปี 2562- 2566) ส่วนกลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย บริษัทฯมียอดขายที่รอรับรู้รายได้จาก การโอน(Backlog) ของคอนโดมิเนียม มูลค่า 4,400 ล้านบาท จากโครงการ The ESSE Asoke และ The ESSE at SINGHA COMPLEX
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ