พิษอสังหาฯขาลงพฤกษาเลื่อนเปิด6โครงการพรีเมียม
Loading

พิษอสังหาฯขาลงพฤกษาเลื่อนเปิด6โครงการพรีเมียม

วันที่ : 14 สิงหาคม 2562
อสังหาฯขาลงลามตลาดพรีเมียม "พฤกษา" เลื่อนเปิด 6 คอนโดพรีเมียม เป็นปีหน้า รวมลดเปิดโครงการใหม่ปีนี้ลง 15 โครงการ ปรับเป้ายอดขายลดลง 4 พันล้าน หลังภาพรวมอสังหาฯครึ่งปีแรกติดลบ13% ชูกลยุทธ์ "สไนเปอร์" ยิงตรงลูกค้าแทน สาดกระสุน
          อสังหาฯขาลงลามตลาดพรีเมียม "พฤกษา" เลื่อนเปิด 6 คอนโดพรีเมียม เป็นปีหน้า รวมลดเปิดโครงการใหม่ปีนี้ลง 15 โครงการ ปรับเป้ายอดขายลดลง 4 พันล้าน  หลังภาพรวมอสังหาฯครึ่งปีแรกติดลบ13% ชูกลยุทธ์ "สไนเปอร์" ยิงตรงลูกค้าแทน สาดกระสุน

          จากภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในช่วงครึ่งปีแรก ที่มีมูลค่า 200,650 ล้านบาท หดตัวลงจากปีก่อนหน้าที่มีมูลค่า 231,547 ล้านบาทหรือ ติดลบ 13% แบ่งเป็น คอนโด ติดลบ 17% บ้านเดี่ยว ติดลบ 12% และทาว์นเฮ้าส์ ติดลบ 5% ขณะที่ จำนวนยูนิตอยู่ที่ 51,865 ยูนิตลดลง 11% เช่นเดียวกับยอดโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในช่วงเดือน เม.ย-พ.ค. มียอดโอนอยู่ที่ 41,906 ล้านบาท ลดลง  24%

          นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากสถานการณ์ตลาด อสังหาฯชะลอตัว ส่งผลให้ยอดขายครึ่งปีแรกของพฤกษา ลดลงอยู่ที่ 23,368 ล้านบาท หรือ ลดลง 4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่24,367 ล้านบาท แม้ว่าผลประกอบการในครึ่งปีแรกจะสามารถทำรายได้รวม 19,662 ล้านบาท เติบโต 3% และทำกำไร 2,618 ล้านบาท เติบโต 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

          ดังนั้นบริษัทจึงได้ปรับลด เป้าหมายรายได้ ยอดขาย (Presale) และแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2562 เนื่องจากภาวะตลาดอสังหาฯ กำลังซื้อ เศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศถดถอย อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวชะลอตัว เงินบาทแข็งค่า หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง

          โดยตั้งเป้าหมายรายได้รวมลดลงเหลือ 45,000 ล้านบาท จากเป้าหมายเดิม 47,000 ล้านบาท ซึ่งสัดส่วนรายได้จะมาจากโครงการ ทาวน์เฮาส์ จำนวน 19,500 ล้านบาท คอนโดมิเนียม จำนวน 12,300 ล้านบาท จากโครงการบ้านเดี่ยว จำนวน 7,800 ล้านบาท และจากโครงการระดับพรีเมียม จำนวน 5,400 ล้านบาท

          เลื่อนเปิด6โครงการพรีเมียม

          ขณะที่ เป้าหมายยอดขายในปีนี้จะลดลงอยู่ที่ 50,000 ล้านบาทจากเดิมที่ตั้งไว้ 54,000 ล้านบาท โดยสัดส่วนยอดขายจะมาจากโครงการทาวน์เฮาส์ จำนวน 22,800 ล้านบาท, คอนโดมิเนียม จำนวน 10,300 ล้านบาท, บ้านเดี่ยว จำนวน 9,400 ล้านบาท และโครงการระดับพรีเมียม จำนวน 7,500 ล้านบาท ซึ่งมาจาก 2 โครงการคือ แชปเตอร์เจริญนคร ที่ปิดโครงการแล้วและที่จุฬา-สามย่าน ที่ขายไปแล้ว 80%

          ส่วนโครงการคอนโดพรีเมียมที่เหลือ 6 โครงการเลื่อนไปเปิดในปี 2563  โดยภาพรวมของการเปิดตัว โครงการใหม่ในปีนี้ จะปรับลดลงเหลือ 40 โครงการคิดเป็นมูลค่ารวม 47,444 ล้านบาท จากแผนเดิมที่จะเปิด โครงการใหม่รวม จำนวน 55 โครงการ มูลค่ารวม 68,100 ล้านบาท

          ชู"สไนเปอร์"แทนสาดกระสุน

          นางสุพัตรา กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีการเปิดโครงการใหม่ จำนวน 14 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 20,492 ล้านบาท และในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 26 โครงการ มูลค่าโครงการ 26,952 ล้านบาท ด้วยการปรับกลยุทธ์แบบสไนเปอร์เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางของตลาดและสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันจากเดิมที่ใช้วิธีการสาดกระสุนแบบปืนกล ไม่ตรงเป้าหมาย ทำให้เสียเวลาและ โอกาส โดยใช้ 6 กลยุทธ์หลักในการทำตลาดครึ่งปีหลังปี เริ่มจาก 1.เน้นกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ที่ต้องการอยู่อาศัยมากขึ้น

          2.ปรับสินค้า ราคาให้ตอบสนองกับกำลังซื้อลูกค้าPremiumization จากกลุ่มกลางล่างเป็นกลางบน เช่น กลุ่มคอนโด ทาวน์เฮ้าส์ ราคา 3-5 ล้านบาท บ้านเดี่ยวราคา 5-7 ล้านบาท แทนที่จะเป็นกลุ่มราคา 1-2 ล้านบาท ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (แอลทีวี) 3.เลือกเปิดโครงการใหม่ในทำเลที่มีศักยภาพ หากจังหวะเวลายังไม่เหมาะสมชะลอหรือเลื่อนออกไปก่อนเหมือน เช่น คอนโดระดับพรีเมียม

          ชู"เอไอ"ดันดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง

          4.เน้นการทำตลาดแบบดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง และนำเอไอเข้ามาช่วยในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพื่อ ความถูกต้องแม่นยำ 5.บริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และ6.ให้คำแนะนำในการเลือกธนาคารที่เหมาะสมตามศักยภาพลูกค้า

          "เราจะทำสินค้าให้ลักชัวรีในราคาที่ลูกค้าจับต้องได้ ไม่แพงจนสุดโต่ง ดังนั้น เลือกทำเลที่ดี โปรดักท์ดีไซน์ที่ตอบโจทย์ลูกค้า พร้อมกับการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในการทำตลาดบ้านเดี่ยวมากขึ้น รวมทั้งช่องทางการขายกระจายไปในทุกรูปแบบ"

          อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2 ปีนี้บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 36,938 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ช่วงที่เหลือของปี 2562-2565 โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้จะรับรู้รายได้ประมาณ 17,435 ล้านบาท และใน ปี 2563 จะทยอยรับรู้รายได้ประมาณ 8,619 ล้านบาท ส่วนในปี 2564 จะทยอยรับรู้รายได้ประมาณ 8,847 ล้านบาท และในปี 2565 จะรับรู้รายได้ส่วนที่เหลือ 2,038 ล้านบาท
 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ