"สมคิด"ดันเปิดภายใน ก.ย.นี้ คาดดอกเบี้ยต่ำ 3%

          กรุงเทพธุรกิจ "สมคิด"ดันธอส.อนุมัติสินเชื่อบ้านล้านหลังเฟสแรกให้แล้วเสร็จภายใน 4 เดือน และเปิดเฟส 2 ในเดือนก.ย.นี้ "ฉัตรชัย"คาดใช้วงเงิน 1 แสนล้านบาท เล็งกดดอกเบี้ยต่ำกว่า 3% ทั้งสองเฟส ผ่านการออก สลากระดมทุน  คาดต้นทุนเฉลี่ย 1.7-1.8%ต่อปี

          นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังตรวจเยี่ยมโครงการบ้านล้านหลังที่ดำเนินโครงการโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.)วานนี้ (20มี.ค.) ว่า ได้มอบนโยบายให้ธอส.พิจารณาอนุมัติสินเชื่อ แก่ผู้จองโครงการ "บ้านล้านหลัง" ในเฟสแรกให้แล้วเสร็จภายใน 4 เดือนนับจากนี้ จากนั้นจะต้องเปิดเฟสสองให้ผู้สนใจเข้าจองสิทธิ์ภายในเดือนก.ย.นี้ โดยเน้นย้ำให้ดูแลผู้มีรายได้น้อยเป็นหลัก โดยเฉพาะในกลุ่มที่ดูแลพ่อแม่นั้น ควรให้สิทธิพิเศษ เพราะถือว่าเป็นกลุ่มที่มีภาระ

          "ได้ฝากฝ่ายบริหาร ให้ดูแลคนที่มีรายได้น้อยและคนที่ยังไม่ได้รับอนุมัติจากโครงการแรกๆให้มีโอกาสได้รับบริการ ขณะเดียวกันต้องดูกลุ่มอื่น เช่น ใครที่ดูแลพ่อแม่แล้วมาจอง บ้านธอส. เราจะให้สิทธิพิเศษก่อน เพราะถือว่ามีภาระและค่อยไปดูอนาคตข้างหน้าจะขยายบ้านราคาเกินล้านสำหรับคนที่สร้างครอบครัวที่ต้องการบ้านใหญ่ขึ้นมาหน่อย"

          นอกจากนี้ยังมอบนโยบายให้ธอส.ทำหน้าที่เป็นผู้ดีไซน์แบบบ้านที่จะสร้างแก่ผู้ประกอบการ เพื่อควบคุมต้นทุนให้ราคาบ้านอยู่ในกลุ่มเป้าหมายปล่อยสินเชื่อ โดยให้ตั้งทีมขึ้นมาทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพื่อ ช่วยให้ประชาชนมีบ้านตามวัตถุประสงค์ของธนาคาร

          "โครงการบ้านล้านหลังที่มีขนาดใหญ่ เราต้องคุมแบบก่อสร้างเอง สร้างทีมขึ้นมาดู โดยไม่ปล่อยให้เอกชนออกแบบเอง เพื่อคุมต้นทุนให้อยู่ในระดับที่เราปล่อยสินเชื่อ พอเรารู้ต้นทุน ทางเอกชนก็จะเบี้ยวเราไม่ได้ และให้กระจายสินเชื่อไปตามความต้องการ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ไม่ใช่กระจุกตัวเฉพาะกรุงเทพ"

          นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธอส.กล่าวว่า ในเฟสแรกบ้านล้านหลังที่เปิดให้ประชาชนที่จองสิทธิ์จำนวน 5.9 หมื่นรายเข้ายื่นกู้ตั้งแต่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏว่าใน 2 เดือนแรก มียอดอนุมัติสินเชื่อไปแล้ว 4 พันราย วงเงิน 2 พันล้านบาท และตั้งแต่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้เปิดให้ผู้จองสิทธิ์ทั้งหมดกว่า 1.27 แสนรายเข้ายื่นกู้ได้ ส่วนเฟสสองที่จะเริ่มเปิดจองในเดือนก.ย.คาดใช้เม็ดเงิน 8 หมื่นล้านบาท ถึง 1 แสนล้านบาท

          ทั้งนี้จากข้อจำกัดในเรื่องระยะโครงการที่สิ้นสุดในปี 2562 ขณะนี้ได้ขยายออกไปถึงปี 2564 ทำให้กลุ่มผู้ประกอบการสามารถสร้างบ้านออกมารองรับได้ทันเวลา โดย สาขาธอส.ทั่วประเทศได้สำรวจพื้นที่จริงพบว่า จะมีผู้ประกอบการลงมือก่อสร้างป้อนโครงการบ้านล้านหลังราคาไม่เกิน 1 ล้านบาทได้ถึงประมาณ 5 หมื่นยูนิต

          นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของ ผู้จองสิทธิ์ที่ไม่สามารถผ่อนชำระเงินงวดได้ ซึ่งพบว่า มีอยู่ราว 30% ในจำนวน 5.9 หมื่นราย ที่ยื่นกู้ในเฟสแรก โดยมีความสามารถผ่อน ได้ประมาณ 2,800-3,000 บาท จาก 3,800 บาท ทำให้ธอส.มีแนวคิดที่จะของบประมาณสนับสนุนการชำระส่วนต่างเงินงวดราว 2,400 ล้านบาท สำหรับระยะเวลาการช่วยเหลือ 6 ปี

          อย่างไรก็ตามหากรัฐไม่สนับสนุน งบประมาณ ธอส.ก็มีแนวคิดที่จะขยาย ระยะเวลาการชำระเงินงวดจาก 40 ปี เป็น 50 ปี เพื่อให้การชำระเงินงวดลดลง นอกจากนี้หากธอส.สามารถระดมทุนผ่านการออกสลากได้เต็มจำนวน 1 แสนล้านบาท ซึ่งคำนวณต้นทุนเฉลี่ย 1.7-1.8% ก็จะสามารถดึงอัตราดอกเบี้ยของโครงการทั้งเฟสแรกและเฟสที่สองลงมาต่ำกว่า 3% ซึ่งจะทำให้ภาระเงินงวดของโครงการต่ำลงได้อีกทางหนึ่งด้วย สำหรับแนวทางการดูแลผู้กู้บ้านที่ดูแลพ่อแม่นั้น อันดับแรกจะให้พิจารณาให้ได้รับสิทธิ์เงินกู้ในอันดับต้นๆ และจะเข้าไปช่วยเหลือในการลดเงินต้นให้เมื่อผ่อนชำระมา ระยะหนึ่งแล้ว ยกตัวอย่าง ผ่อนชำระมา 3 ปี ธอส.จะพิจารณาช่วยเงินต้นเดือนละ 500 บาท โดยคูณกับระยะเวลาที่ผ่อนมา 3 ปี และนำมาลดเงินต้นให้ทันที อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ธอส.กำลังพิจารณาว่า จะลดเงินต้นให้ได้จำนวนเท่าใด

          "ถ้าภายในวงเงินสินเชื่อ 1 หมื่นล้านบาท ที่เรากำหนดไว้ให้สำหรับผู้กู้ที่ดูแลพ่อแม่ เราสามารถเข้าไปซัพพอร์ตเรื่องการลดภาระของเงินต้นได้ โดยที่ไม่รบกวนงบประมาณรัฐ"

          นายฉัตรชัย กล่าวว่า ธอส.จะเป็นศูนย์กลางในการเปลี่ยนมือบ้านมือสองให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการบ้านหลังแรก กรณีที่ในอนาคตต้องการขยับขยายบ้านให้ใหญ่ขึ้น เพราะธนาคารเองก็มีพอร์ตลูกค้าที่มีบ้านราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ขณะเดียวกันสำหรับในรายที่เกิดอุบัติเหตุไม่สามารถผ่อนชำระได้ ทางธอส.ก็จะเป็นศูนย์กลางในการเปลี่ยนมือให้สำหรับผู้ที่เข้าคิวซื้อบ้านในโครงการเพื่อให้เข้ามาผ่อนชำระต่อได้