เจ้าของแห่ขายหนีภาระเพิ่ม

          อานิสงส์ภาษีที่ดิน บิ๊กเนมอสังหาฯ ช็อปง่ายได้ที่ดินแปลงใหญ่ใจกลางเมือง พฤกษา-แอล.พี.เอ็น.เผยเจ้าของที่ดินขายเอง ราคาจับต้องได้ หวังกำเงินย้ายออกนอกเมือง

          จากกรณีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ประกาศใช้ ปี 2562 แต่เริ่มมีผลจัดเก็บจริงวันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ฉะนั้นเจ้าของที่ดินมีเวลาอีกเพียง 1 ปีปรับตัวรับมือ ส่งผลให้เกิดแรงกระตุ้นเทขายที่ดิน แปลงว่างเปล่าทำเลใจกลางเมืองเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ฯ แข่งขันเปิดเว็บไซต์รับซื้อที่ดิน

          นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตทแวลู บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตทฯ เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ภาษีที่ดินจะเป็นผลดีกับบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่เพียงไม่กี่ค่าย ที่สามารถรับซื้อที่ดินแปลงที่ดีที่สุด เกรดเอ ทำกลางใจเมืองแนวรถไฟฟ้า ซึ่งพฤกษาได้ที่ดินหลายแปลงแนวสายสีเขียวที่เจ้าของนำมาเสนอขายเนื่องจากไม่อยากเป็นภาระ

          สอดคล้องกับนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมียม บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท กล่าวว่า ขณะนี้พบผู้ประกอบการรายกลางจำนวน 3-4 ราย ติดต่อนำที่ดินที่ถือครองไว้นานเตรียมเพื่อพัฒนาโครงการมาขายให้กับบริษัทแทน เพื่อหวังนำเงินมาเสริมสภาพคล่องให้ตนเอง และอาจต้องการหนีภาษีที่ดินที่ต้องจ่ายเพิ่มเติมด้วย

          ค่าย แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ สะท้อนว่า การเทขายที่ดินมีมาอย่างต่อเนื่อง จากการเกรงกลัวภาระนับตั้งแต่ มีการยกร่างกฎหมายและกำหนดวันประกาศใช้ ส่วนใหญ่จะอยู่ในมือผู้ประกอบการรายใหญ่ บริษัทซื้อที่ดินทำเลวิภาวดีรังสิตจากความต้องการขายของเจ้าของที่ดินเดิมโดยระบุว่า ไม่ต้องการรับภาระภาษีที่ดิน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าผู้ประกอบการจะได้ที่ดินราคาถูกลง แต่เป็นลักษณะ จับต้องง่ายขึ้นกว่าที่ผ่านมา โดยเฉพาะทำเลในเมืองแนวรถไฟฟ้า

          "เริ่มมีการเทขาย ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ทำเลดีๆ อยู่ในมือผู้ประกอบการรายใหญ่ ทั้งหมดแล้ว แต่ทั้งนี้ราคาที่ดินจะไม่ถูกลงกลับจะเพิ่มสูงขึ้นจากรถไฟฟ้า"

          สำหรับที่ดินที่บริษัทซื้อจากเจ้าของที่ดินเสนอขายให้เพื่อหนีภาษีที่ดิน ได้แก่ แปลง พหลโยธิน 54/1 (เข้าซอย) แนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ (สถานีโรงพยาบาลภูมิพล) เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ ในราคา 3 หมื่นบาทต่อตารางวา เตรียมพัฒนาโครงการทาวน์โฮม 200-300 หน่วย ราคา 2 ล้านบาทเศษ มูลค่าโครงการ 700-800 ล้านบาท ขณะพหลโยธิน 32 ที่ก่อนหน้านี้ได้ซื้อตึกแถว ติดถนนใหญ่ราคาตารางวาละ 3 แสนบาท ขึ้นโครงการลุมพินีเปิดขายในปัจจุบัน

          อีกทำเลกว่า 40 ไร่ ราคา 3 หมื่นบาทต่อตารางวา อยู่ใกล้ตลาดลาดกระบัง ติดถนนใหญ่ บริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ พัฒนาเป็นโครงการทาวน์โฮม จำนวนไม่เกิน 500 หน่วย มูลค่า 1,000 ล้านบาท คาดว่าทั้ง 2 โครงการจะเปิดตัวปลายไตรมาส 3 ปีนี้

          นอกจากนี้ จะมี ทำเลท่าข้าม-วัดตักจะพัฒนาเป็นโครงการแนวราบ บ้านแฝด จำนวน 2 โครงการ 500 ล้านบาท และปลายเดือนเมษายน-พฤษภาคม มีแผนเปิดตัวโครงการ สุขุมวิท 101/1 จำนวน  2 ไร่ เป็นคอนโดฯ โลว์ไรส์ ในซอย 2 อาคาร จำนวน 300-400 หน่วย โดยราคา ที่ซื้ออยู่ที่ 3-4 แสนบาท ต่อตารางวา ขณะทำเลกลางเมืองติดรถไฟฟ้าราคา 1 ล้านบาทต่อตารางวา ส่วน ทำเลชานเมือง ราคา 4-5 แสนบาทต่อตารางวา อย่างไรก็ตาม ปีนี้บริษัทมีงบซื้อที่ดินพัฒนาโครงการ 4,000 ล้านบาท โดยเน้นทั้งชานเมืองและแนวรถไฟฟ้า

          ด้านนายประทีป ตั้งมติธรรม ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บมจ.ศุภาลัย ระบุว่า บริษัทมีเป้าซื้อที่ดินในทุกทำเล โดยเฉพาะแนวรถไฟฟ้า แม้ราคาแพงก็ซื้อซึ่งปัจจุบันมีเจ้าของที่ดินเสนอขายจำนวนมาก แต่บริษัท เลือกเฉพาะผังเมือง กำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินได้คุ้มค่า

          นายวรเดช ศิวเตชานนท์ ประธานบริหาร บจก.อีอาร์เอ แฟรน ไชส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปัจจุบันถึงเวลาต้องปล่อยแปลงที่ดินและเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ เนื่องจาก ภาษีที่ดิน ทำให้มีเจ้าของที่ดินนำที่ดินมาให้บริษัทช่วยขาย จำนวน 3-4 ราย ตั้งแต่ 1-3 ไร่ ซึ่งมีทั้งลูกหลานยุยงให้ขาย หรือเจ้าตัวใกล้เกษียณต้องการออกจากใจกลางเมือง นำเงินก้อนใหญ่ไปซื้อบ้านหลังใหม่ ทำเลชานเมือง ที่ติดต่อเข้ามา เช่นทำเล สุขุมวิท ต้นๆ ไม่เกิน ดิ เอ็มควอเทียร์ (สถานีพร้อมพงษ์) โดยด้านหลังเอ็ม ควอเทียร์ มี 1 แปลง กว่า 1 ไร่ ห่างจาก สถานีรถไฟฟ้า 600-700 เมตร ราคา 2.5 ล้านบาท ต่อตารางวา นอกจากนี้ยังมีที่ดิน สุขุม 33 และแปลงใหญ่ประมาณ 10 ไร่ ตรงข้ามแยก อโศก เจ้าของเป็นนายตำรวจแต่ราคาบอกขายค่อนข้างสูงตารางวา ละ 2 ล้านบาทปลาย อย่างไรก็ตาม บ้านหลังที่สองต้องเสียตั้งแต่บาทแรกจะกระทบเพียงจิตวิทยา เนื่องจากราคาจ่ายไม่สูง