"โอเวอร์ซัพพลาย"หรือปัญหาห้องพักโรงแรมล้นตลาดยังคงสะสมใน "กรุงเทพฯ" แต่ด้วยดีมานด์จากนักท่องเที่ยวยังเติบโตดี นักลงทุนจึงพาเหรดเปิดโรงแรมใหม่ต้อนรับผู้คนอย่างต่อเนื่อง ยิ่งได้ผลสำรวจสุดยอดจุดหมายปลายทางโลกของมาสเตอร์การ์ด (MasterCard Global Destination Cities Index) ประจำปี 2561 ซึ่งจัดอันดับกรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม มากที่สุดในโลกติดต่อกันเป็นปีที่ 3 มากกว่าปารีสและลอนดอนมาช่วยการันตี ยิ่งทำให้กรุงเทพฯมีชื่อเสียงมากขึ้นทบทวี  นอกจากจะเป็นที่รู้จักในด้านมรดกทางวัฒนธรรมและความบันเทิงสมัยใหม่แล้ว  ยังอยู่ในฐานะเมืองอาหารชั้นนำ หลังมีการเปิดตัวของมิชลินไกด์สำหรับกรุงเทพฯ เมื่อปลายปี 2560  ล่าสุดจากการเก็บตัวเลขของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่าเมื่อสิ้นปี 2561 มีจำนวนห้องพักโรงแรมสะสมใน เมืองกรุงแล้วกว่า 152,744 ห้องพักแล้ว โดยอัตราเข้าพักเฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่ 81.2% เพิ่มขึ้น 1.78% เมื่อเทียบกับปี 2560

          ขณะที่จำนวนผู้เข้าพักตลอดปีที่ผ่านมา มี 35,267,785 คน เพิ่มขึ้น 3.88% จากจำนวนผู้เยี่ยมเยือนทั้งหมด 64,605,920 คน เพิ่มขึ้น 1.62% ซึ่งสร้างรายได้ 1,051,118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.88% โดยแบ่งเป็นจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติ 24,257,756 คน เพิ่มขึ้น 8.03% สร้างรายได้ 681,329 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.26% ส่วนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย มี 40,348,164 คน ลดลงเล็กน้อย 1.88% สร้างรายได้ 369,789 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.15%

          ศุภวรรณ ถนอมเกียรติภูมิ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) กล่าวว่า ด้วยดีมานด์นักท่องเที่ยวเดินทางมากรุงเทพฯจำนวนมาก ทำให้การเปิดโรงแรมใหม่ ในกรุงเทพฯยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในโซน "สุขุมวิท" ทำเลฮอตซึ่งมีจุดขายหลักติดแนวรถไฟฟ้า ซึ่งมีโรงแรมระดับ 4-5 ดาวเปิดใหม่เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (เอฟ.ไอ.ที.)

          "เมื่อซัพพลายโรงแรมเข้ามาในตลาดกรุงเทพฯมากขึ้น ทำให้โรงแรมต้องแข่งขันและเน้นหนักในการขายห้องพักผ่าน ช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะโรงแรมคู่แข่งในทำเลเดียวกัน ซึ่งสามารถประเมินราคาขายห้องพักของคู่แข่งได้ จากการพัฒนาเครื่องมือทางเทคโนโลยีของแพลตฟอร์มธุรกิจท่องเที่ยวออนไลน์ หรือ ออนไลน์ แทรเวล เอเย่นต์ (โอทีเอ) อย่างไรก็ตาม ภาพรวมราคาห้องพักในกรุงเทพฯช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหรือ ไฮซีซันนี้ ถือว่าปรับราคาเพิ่มขึ้นได้ ค่อนข้างดีที่ 10% เมื่อเทียบกับไฮซีซันที่แล้ว"

          ทั้งนี้ รายงานจากโจนส์ แลง ลาซาลล์ หรือ เจแอลแอล (JLL) บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ ระบุว่า สำหรับซัพพลายโรงแรมในกรุงเทพฯ คาดว่าจะมีโรงแรมเปิดใหม่กว่า 8,600 ห้องพักภายในปี 2563  โดยส่วนใหญ่ จะเป็นกลุ่มโรงแรมระดับอัพสเกล (Upscale) และมิดสเกล (Midscale) คิดเป็นสัดส่วน 41.8% และ 37.9% ของจำนวนห้องที่จะเปิดใหม่ตามลำดับ โรงแรมส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ใน "ย่านสุขุมวิท"คิดเป็น 34% ของจำนวนห้องที่จะ เปิดใหม่ทั้งหมด

          อย่างไรก็ตาม ได้เห็นการขยายตัวของโรงแรมในบริเวณ "ตอนเหนือของกรุงเทพฯ" มากขึ้น โดยคาดการณ์ว่าในช่วง 2 ปีข้างหน้า จะมีโรงแรมเกือบ 1,900 ห้อง หรือ 22.1% ของจำนวนห้องที่จะเปิดใหม่ทั้งหมด เข้ามาในบริเวณทางเหนือของกรุงเทพฯ ซึ่งในที่นี้ รวมถึงพื้นที่ย่าน "แจ้งวัฒนะ ลาดพร้าว และรัชดาภิเษก" สำหรับจำนวนห้องพักโรงแรม เปิดใหม่ในปี 2561 ที่ผ่านมา มีทั้งหมด 2,373 ห้อง ยกตัวอย่างเช่น โรงแรมแมริออท เดอะ สุรวงศ์ กรุงเทพฯ 280 ห้อง, โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท เปิดอย่างไม่เป็นทางการ 100 ห้อง และโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ 170 ห้อง ส่วนโรงแรมที่จะเปิดให้บริการ

          อาทิ โรงแรมอวานี สุขุมวิท กรุงเทพฯ 306 ห้อง, โรงแรมนิกโก้ กรุงเทพฯ 301 ห้อง และโรงแรมโรสวู้ด กรุงเทพฯ 146 ห้อง ด้านการซื้อขายโรงแรมที่น่าสนใจ คือ โรงแรมบางกอก เอดิชัน ปัจจุบันคือ โรงแรมโอเรียนท์ เอ็กซ์เพรส มหานคร รวมถึง โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน

          สำหรับแนวโน้มตลาด แม้ว่านักท่องเที่ยวจีน ที่เดินทางมาไทยจะลดลงในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2561 หลังจากเกิดเหตุเรือล่ม นอกชายฝั่งภูเก็ตในเดือน ก.ค.ปีที่ผ่านมา เราคาดการณ์ว่าการท่องเที่ยวกรุงเทพฯจะยังคงคึกคัก จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติในตลาดอื่น

          นอกจากนี้ ยังคาดด้วยว่าการยกเว้น ค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือ Visa on Arrival (VoA) สำหรับ นักท่องเที่ยวจาก 20 ประเทศ เช่น จีนและอินเดีย จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยรวม และลดผลกระทบ ของนักท่องเที่ยวจีนที่มีจำนวนลดลงได้

          เมื่อซัพพลายโรงแรมในตลาดกรุงเทพฯมากขึ้น ทำให้โรงแรมต้องแข่งขันและเน้นหนัก การขายห้องพักผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น