ธอส.สานภารกิจช่วยคนมีบ้าน
Loading

ธอส.สานภารกิจช่วยคนมีบ้าน

วันที่ : 2 กุมภาพันธ์ 2562
ธอส.โชว์งานเด่นปี 2561 โตต่อเนื่องทุกด้าน ปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ทะลุ 213,161 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.30% ประกาศแผนปี 2562 สู่การเติบโตที่ยั่งยืน ด้วยภารกิจหลัก 3 ด้าน เพื่อก้าวไปสู่การเป็นธนาคารที่ดีที่สุดสำหรับการมีบ้าน ขณะที่บ้านล้านหลังผ่านการอนุมัติแล้ว 950 ราย วงเงินกู้ 630 ล้านบาท นายกรัฐมนตรีกดปุ่มประเดิม มอบ 20 รายแรก
          เล็งปล่อยสินเชื่อใหม่กว่า 2 แสนล้าน

          ธอส.โชว์งานเด่นปี 2561 โตต่อเนื่องทุกด้าน ปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ทะลุ 213,161 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.30% ประกาศแผนปี 2562 สู่การเติบโตที่ยั่งยืน ด้วยภารกิจหลัก 3 ด้าน เพื่อก้าวไปสู่การเป็นธนาคารที่ดีที่สุดสำหรับการมีบ้าน ขณะที่บ้านล้านหลังผ่านการอนุมัติแล้ว 950 ราย วงเงินกู้ 630 ล้านบาท นายกรัฐมนตรีกดปุ่มประเดิม มอบ 20 รายแรก

          นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ในปี 2562 ธอส. ได้กำหนดแผนงานที่นำไปสู่การเติบโตแบบยั่งยืน พร้อมยังคงมุ่งเดินหน้าตามพันธกิจทำให้คนไทยมีบ้าน ซึ่งประกอบด้วยภารกิจหลัก 3 ด้าน คือ 1.Sustainability Portfolio ผลประกอบการที่มีความมั่นคงและยั่งยืน ด้วยการกำหนดแนวทางที่ชัดเจนเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายสำคัญในด้านต่างๆ อาทิ สินเชื่อปล่อยใหม่ที่ 203,262 ล้านบาท สินเชื่อคงค้างที่ 1,181,038 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 1,210,984 ล้านบาท หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ลดลงเหลือ 4.02% ของยอดสินเชื่อรวม และเร่งพิจารณาอนุมัติสินเชื่อโครงการบ้านล้านหลังให้ครบทั้งกรอบวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท

          ล่าสุด หลังเปิดให้ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2562 ล่าสุด  ณ วันที่ 28 มกราคม 2562 มีลูกค้ายื่นคำขอกู้รวมกว่า 1,700 ราย วงเงินกู้รวม 1,100 ล้านบาท และอนุมัติแล้วทั้งสิ้น 950 ราย วงเงินกู้ 630 ล้านบาท โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประเดิมมอบวงเงินสินเชื่อบ้านให้แก่ประชาชน 20 รายแรก ที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อแล้วรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท

          ส่วนการที่พระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกสภานิติ บัญญัติแห่งชาติ และหากได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้แล้วนั้น จะมีส่วนช่วยให้ธนาคารขยายขอบเขตในการดำเนินธุรกิจ และมีเครื่องมือเพิ่มเติมที่ลดต้นทุนการดำเนินงานลง อาทิ การเปิดจำหน่ายสลากออมทรัพย์ ธอส. เพื่อเพิ่มสัดส่วนของเงินฝากระยะยาวให้สอดคล้องกับการปล่อยสินเชื่อ การเพิ่มอำนาจการออกพันธบัตรให้เป็นของคณะกรรมการธนาคารซึ่งช่วยให้มีความคล่องตัวในการออกพันธบัตรยิ่งขึ้น และยังรองรับการให้สินเชื่อเพื่อผู้สูงอายุในรูปแบบ Reverse Mort gage

          "ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ผ่านการเห็นชอบวาระ 2-3 ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งอยู่ระหว่างชั้นเลขาฯ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ตรวจร่างกฎหมาย เพื่อเสนอให้มีผลบังคับใช้ต่อไป โดยหลังจากที่กฎหมายมีผลแล้ว ธอส.จะดำเนินการได้ทันที คือ การออกสลากออมทรัพย์ ธอส.ประเภท 3 ปี และ 5 ปี ราคาหน่วย ละ 100 บาท และ 500 บาท ในช่วงเดือน ส.ค.นี้ ใช้เวลาเตรียมการ 5 เดือน โดยมีแผนการออกสลากในปี 2562 ในวงเงิน 5 หมื่นล้านบาท รวมทั้งยังมีแนวคิดที่จะออกสลากรุ่นพิเศษ หน่วยละ 1 ล้านบาท อายุ 10 ปี สำหรับผู้ที่สนใจออมเงินระยะยาว และใช้เป็นมรดกตกทอดได้"

          นอกจากนี้ กฎหมายใหม่จะช่วยให้การระดมเงินทุนผ่านการออกพันธบัตรมีความคล่องตัวมากขึ้น โดยคาดว่าในปี 2562 จะมีการออกพันธบัตรประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกับการออกสลาก ธอส.จะทำให้ต้นทุนในการระดมทุนลดลงจาก 2.09% เหลือ 1.9% ทำให้ธนาคารสามารถตรึงดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อช่วยเหลือลูกค้า และคาดว่าในช่วงปลายปีจะมีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำคงที่ 5 ปี ให้กับลูกค้าได้

          2.Technology for Digital Service ยกระดับการให้บริการดิจิทัลด้วยเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในปัจจุบัน ด้วยการนำระบบงานหลัก GHB SYSTEM ที่พัฒนามาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการให้บริการในรูปแบบดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งมีกำหนดเริ่มใช้งานระบบอย่างเป็นทางการ ในเดือนมีนาคม 2562 ทั้งนี้ ธนาคารตั้งเป้าหมายว่าภายในสิ้นปี 2562 จำนวนการใช้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลจะไม่น้อยกว่า 40% ของบริการ หน้าเคาน์เตอร์ที่สาขาของธนาคาร

          และ 3.Strategic HRM& HRD&CG ยุทธศาสตร์ในด้านการบริหารและพัฒนาบุคลากร รวมถึงการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยมุ่งพัฒนาศักยภาพของบุคลากรของธนาคารให้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสมัยใหม่ รองรับการให้บริการแบบดิจิทัล ทั้งนี้ เพื่อก้าวไปสู่การเป็นธนาคารที่ดีที่สุดสำหรับการมีบ้านตามวิสัยทัศน์ของธนาคารต่อไป

          สำหรับผลการดำเนินงานปี 2561 เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2560 ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ทั้งสิ้น 213,161 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.30% คิดเป็น 173,958 บัญชี สูงกว่าเป้าหมายซึ่งกำหนดไว้ที่ 188,918 ล้านบาท จำนวนถึง 24,243 ล้านบาท ส่งผลให้ธนาคารมียอดสินเชื่อคงค้างรวมทั้งสิ้น 1,115,893 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.03% สินทรัพย์รวม 1,163,882 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.55% เงินฝากรวม 943,382 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.94% มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) 46,495 ล้านบาท คิดเป็น 4.17% ของยอดสินเชื่อรวม ลดลง 0.04% และมีกำไรสุทธิ 12,611 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ 12,137 ล้านบาท