“ออริจิ้น” โชว์พรีเซล 8 เดือนแรกกระฉูด 15,000 ล้านบาท มากกว่าปีก่อนทั้งปี เล็งเปิดใหม่อีก 5 โครงการ มูลค่า 22,000 ล้านบาท ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ขณะที่ Q4 จ่อขายหุ้น “ออริจิ้น ฟู้ด” ในสัดส่วน 49% ให้กูรูด้านอาหาร

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายในช่วง 8 เดือนแรก (ม.ค.-ส.ค.) ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายรวมแล้ว 15,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่ายอดขายปีก่อนทั้งปีที่มียอดขายรวม 14,000 ล้านบาท โดยสัดส่วนยอดขายในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา มาจากลูกค้าต่างประเทศประมาณ 20% ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าฮ่องกง จีน ไต้หวัน มาเก๊า ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายรวมปีนี้ไว้ที่ 24,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายที่ปรับเพิ่มขึ้นใหม่

ขณะที่ในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มจำนวน 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 22,000 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ พาร์ค ทองหล่อ มูลค่าโครงการ 12,000 ล้านบาท และโครงการ พาร์ค พร้อมพงษ์ มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบ จำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทยังคงยอดโอนกรรมสิทธิ์ปีนี้ไว้ที่ 15,000-16,000 ล้านบาท จากการส่งมอบโครงการอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 บริษัทยังมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่ารวมทั้งสิ้น 29,042 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังประมาณ 9,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ไปจนถึงปี 2564 นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าพร้อมขาย (สต๊อก) ในมือมูลค่ารวม 7,000 ล้านบาท จาก 14 โครงการที่อยู่ระหว่างการขยาย ซึ่งจะรับรู้เป็นรายได้ทันทีหลังการขาย

นายพีระพงศ์ กล่าวต่อว่า ในช่วงไตรมาส 4/2561 จะมีการขายหุ้นของบริษัท ออริจิ้น ฟู้ด จำกัด ที่บริษัทจัดตั้งเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา เพื่อประกอบกิจการด้านอาหารและเครื่องดื่ม ในสัดส่วน 49% ให้กับพันธมิตรที่เป็นกูรูด้านธุรกิจอาหาร (กูรูฟู้ด) เพื่อลงทุนในธุรกิจอาหาร และจะเริ่มเห็นการลงทุนตั้งแต่ปี 2562

สำหรับบริษัท ออริจิ้น ฟู้ด จำกัด มีทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท ประกอบด้วย หุ้นสามัญ 100,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ซึ่งมีบริษัท ออริจิ้น วัน จำกัด (เป็นบริษัทย่อยที่ ORI ถือหุ้น 99.99%) โดยจะลงทุนในลักษณะการเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 25-30% ต่อแบรนด์ เพื่อจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเข้ามาในบริษัท และในปีแรก (ปี 2562) บริษัทจะใช้งบลงทุนเบื้องต้นประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้ธุรกิจอาหารเข้ามาประมาณ 2-3 แบรนด์ และจะถึงจุดคุ้มทุนภายในระยะเวลา 2-3 ปีต่อแบรนด์

ทั้งนี้ บริษัทมองว่าธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ และเป็นธุรกิจที่ตรงกับความต้องการของคนในปัจจุบัน โดยเทรนด์ของคนรุ่นจะมีพฤติกรรมนัดพบเพื่อนหรือนัดประชุมในร้านอาหาร เป็นที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ แต่ธุรกิจอาหารจะมีความยากในการควบคุมต้นทุน ซึ่งต้นทุนหลัก คือ ค่าเช่า บริษัทมองเห็นโอกาสจึงได้ตัดสินใจลงทุน

นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทมีการลงทุนโครงการในลักษณะมิกซ์ยูสมากขึ้น ซึ่งธุรกิจอาหารจะช่วยเสริมธุรกิจเดิมที่มี โดยในปี 2562 จะเริ่มมีรายได้ประจำเข้ามาเป็นปีแรก ซึ่งในช่วงไตรมาส 4/2562 โครงการ Staybridge Suites Bangkok Thonglor ในส่วนของโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์จะเปิดให้บริการ เบื้องต้นคาดว่าจะสร้างรายได้ประมาณ 300 ล้านบาท และในปี 2563 จะมีรายได้ประจำประมาณ 700 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3-5% ของรายได้รวมที่ 20,000 ล้านบาท จากการรับรู้โครงการ Staybridge Suites Bangkok Thonglor เข้ามาเต็มปี และจะมีโครงการ ฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา-แหลมฉบัง เสร็จใหม่