"แสนสิริ" ฟันธงทิศทางคอนโดปี 62  เรียลดีมานด์ครองตลาด หลัง ธปท.คลอดเกณฑ์คุมเข้มสินเชื่อ พลิกแผนไม่เร่งบู๊ทตลาดปั๊มยอดขาย เน้นค่อยเป็นค่อยไป

          นายภูมิศักดิ์ จุลมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2562 จะเป็นโอกาสของคนที่ต้องการซื้ออยู่อาศัยจริง (เรียลดีมานด์) โดยตลาดเก็งกำไร จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหนึ่งเพราะมาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ช่วยสกัดการเก็งกำไร

          สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้บริษัทปรับกลยุทธ์ในการขายที่อยู่อาศัย ไม่มุ่งเน้นปิดยอดขายสร้างข่าวครึกโครม แต่จะค่อยเป็นค่อยไป ไม่ประโคมทำตลาดอย่างหนักเหมือนที่ผ่านมา

          ล่าสุด บริษัท เปิดตัวโครงการเดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค คอนโดมิเนียมที่เกิดจากการร่วมทุนกับกลุ่มบีทีเอส ดำเนินการภายใต้ บริษัท บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง กรุ๊ป และยังเป็นการนำที่ดินของกลุ่มบีทีเอส ที่เคยพัฒนาโครงการแอ็บสแตร็กส์ พหลโยธิน พาร์ค มาขออนุญาตปรับเปลี่ยนการก่อสร้างอาคารบีใหม่ มีเนื้อที่ 10 ไร่ บริเวณห้าแยกลาดพร้าว แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 2 ไร่ จำนวน 880 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,900 ล้านบาท อีก 8 ไร่ เป็นสวนพร้อมชูคอนเซ็ปต์ กรีนหรือสีเขียว

          สำหรับคอนโดมีขนาด 31.75-82.25 ตารางเมตร(ตร.ม.) ราคาขายเริ่มต้น 3.59-13 ล้านบาท จับกลุ่มคนทำงานย่านลาดพร้าว พหลโยธิน มีรายได้ 5-6 หมื่นล้านบาท จะเปิดขาย 17-18 พ.ย.นี้ คาดมียอดขาย 40-50% ภายใน 2-3 เดือน ด้านส่วนกลางของโครงการที่จอดรถ สวน สระว่ายน้ำ จะใช้ร่วมกับลูกบ้านโครงการ แอ็บสแตร็กส์ด้วย การก่อสร้างโครงการ จะเริ่มรื้อโครงสร้างเก่า 12 เดือน และขึ้นโครงสร้างใหม่จนก่อสร้างแล้วเสร็จใช้เวลาอีก 32 เดือน รวมทั้งสิ้น 44 เดือน

          สำหรับซัพพลายคอนโด ย่านห้าแยกลาดพร้าว พหลโยธินอยู่ระหว่างขายมีกว่า  2,000 ยูนิต อัตราดูดซับสูง 80-85% ดีมานด์เติบโต 17.7% ต่อเนื่องทุกปี ราคาที่ดินตลอดจนผลกำไรจากการขาย และผลตอบแทนจากการเช่า (yield) สูง 5-7%

          โครงการเดอะไลน์ พหลโยธิน พาร์ค เป็นโครงการร่วมทุนลำดับที่ 13 ของแสนสิริและกลุ่มบีทีเอส ปัจจุบันมีโครงการอยู่ระหว่างขายคือเดอะ ไลน์ พหลฯ-ประดิพัทธ์ และเดอะไลน์ สุขุมวิท 101 ราว 30% ขณะที่การขายโครงการยอมรับว่ามียูนิตที่ขายคืนกลับมา ไม่โอน จากนักเก็งกำไรเล็กน้อยไม่เกิน 20 ยูนิต จากแผนดังกล่าวคาดช่วยกระตุ้นยอดขายปีนี้ตามเป้า 5หมื่นล้านบาท จากปัจจุบัน 4.3 หมื่นล้านบาท        ในอนาคตบริษัทยังมีแผนพัฒนาโครงการในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มเพราะ ยังเหลือพื้นที่ 2 ไร่ เหลืออยู่ สำหรับตามแผนร่วมทุนบริษัทต้องพัฒนาคอนโดมิเนียม 25 โครงการ ปัจจุบันดำเนินการแล้ว 13 โครงการ ถือว่าเป็นไปตามแผนไม่ล่าช้าแต่อย่างใด