แสนสิริ รุกธุรกิจไลฟ์สไตล์ เพิ่มรายได้เสริมทัพอสังหาฯ
Loading

แสนสิริ รุกธุรกิจไลฟ์สไตล์ เพิ่มรายได้เสริมทัพอสังหาฯ

วันที่ : 7 พฤศจิกายน 2561
นับตั้งแต่บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศวิสัยทัศน์และแผนลงทุนในแบรนด์ระดับโลกมากมาย ทั้งด้านธุรกิจโรงแรม เทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์ เมื่อเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว ด้วยมูลค่าลงทุนกว่า 80 ล้านดอลลาร์หรือ 2,640 ล้านบาท
          พรไพลิน จุลพันธ์

          นับตั้งแต่บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศวิสัยทัศน์และแผนลงทุนในแบรนด์ระดับโลกมากมาย ทั้งด้านธุรกิจโรงแรม เทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์ เมื่อเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว ด้วยมูลค่าลงทุนกว่า 80 ล้านดอลลาร์หรือ 2,640 ล้านบาท หนึ่งในนั้นคือ "สแตนดาร์ด อินเตอร์ เนชันแนล" เจ้าของธุรกิจเชนโรงแรมบูติก แบรนด์ "เดอะ สแตนดาร์ด" ผู้บุกเบิกธุรกิจโรงแรมแนวไลฟ์สไตล์ ปัจจุบันมีโรงแรมในเครือทั้งหมด 5 แห่ง ที่นิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส และไมอามี ประเทศสหรัฐ โดยจะเข้ามาช่วยเสริมทัพรายได้หมุนเวียนจากโรงแรมแบรนด์ "เอสเคป" ของแสนสิริ ซึ่งมีอยู่ 2 แห่งที่หัวหินและเขาใหญ่

          อภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากแสนสิริเข้าถือหุ้นสัดส่วน 35% ในบริษัทแม่ของโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ด คิดเป็นมูลค่า 58 ล้านดอลลาร์หรือกว่า 1,900 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนขยายธุรกิจด้านไลฟ์สไตล์ ตามกลยุทธ์สร้างพันธมิตร ในประเภทธุรกิจอื่นๆ หวัง "กระจายความหลากหลาย" ในการสร้างรายได้ใหม่ๆ ออกไป นอกเหนือจากธุรกิจหลักอย่างอสังหาริมทรัพย์

          ผ่านไป 1 ปี โรงแรมเดอะ สแตนดาร์ดได้ตั้งเป้าขยายจำนวนโรงแรมสู่ตลาดใหม่ๆ ทั่วโลก เพิ่มขึ้นจาก 5 แห่งในปัจจุบัน เป็น 10 แห่งภายใน 1 ปี และขยายเพิ่มเป็น 20 แห่งภายใน 5 ปี ทั้งในโลเคชั่นที่อยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองและเมืองตากอากาศชั้นนำทั่วโลก ได้แก่ ลอนดอน ซึ่งจะเปิดเป็นแห่งที่ 6 ให้บริการในไตรมาส 1 ปีหน้า ตามด้วยเมืองท่องเที่ยวหลักของโลก อย่างปารีส มิลาน เบอร์ลิน ลิสบอน ปราก แมดริด ชิคาโก ลาสเวกัส นิวออร์ลีนส์ แอตแลนต้า ดูไบ สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน จาการ์ตา บาหลี และมีโรงแรมในไทยด้วยอีก 3 แห่ง คือกรุงเทพฯ ภูเก็ต และหัวหิน

          นอกจากนี้ "One Night" แอพพลิเคชั่น จองโรงแรมแบบกระชั้นชิด (ลาสท์ มินิท) ใน วันเดียวกับการเข้าพัก ซึ่งพัฒนาโดยสแตนดาร์ด อินเตอร์ฯ ก็ได้เปิดตัวในกรุงเทพฯเช่นกัน และยังถือเป็นการขยายธุรกิจสู่เอเชีย ครั้งแรกด้วย

          "แสนสิริคาดว่ารายได้จากกลุ่มธุรกิจ ไลฟ์สไตล์จะมีบทบาทสำคัญ เข้ามาเป็นรายได้ เสริมช่วยธุรกิจหลักด้านอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าหมายยอดขายประมาณ 5 หมื่นล้านบาท"

          สำหรับการจับมือกับธุรกิจไลฟ์สไตล์อย่างสแตนดาร์ด อินเตอร์เนชันแนล จะหนุนแสนสิริ ในการขยับสู่ระดับโลก ช่วยเสริมพอร์ตรายได้ ของแสนสิริทั้งในและต่างประเทศ โดยแสนสิริ จะสนับสนุนการสร้างแบรนด์และกำไรของสแตนดาร์ด อินเตอร์ฯอย่างถึงที่สุด

          "แม้แสนสิริจะมีธุรกิจหลักเป็นอสังหาริมทรัพย์ แต่วันนี้เรามองไปไกลกว่าเดิม เราจะไม่หยุดนิ่ง ด้วยการมองหาพันธมิตรใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพราะทุกวันนี้ แม้ ผู้บริโภคทุกคนจะมีความต้องการด้านที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นปัจจัย 4 ของชีวิต แต่มีแค่อิฐหินปูนทรายมันไม่พออีกต่อไป ต้องมีสินค้าและบริการด้านไลฟ์สไตล์มาเสนอขายด้วย อย่างโรงแรม ลูกค้าไม่ได้ซื้อแค่ห้องพักเท่านั้น เขาต้องการซื้อประสบการณ์ หลายๆ อย่างด้วย"

          อามาร์ ลาลวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล เล่าเสริมว่า สำหรับประเทศไทย เรามีแผนเปิดโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ดแห่งแรกที่ภูเก็ต นอกจากโรงแรมแล้ว ยังมีสแตนดาร์ด เรสซิเดนส์ ซึ่งพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกภายใต้ความร่วมมือ กับแสนสิริ

          "ไทยเป็นตลาดน่าสนใจทั้งในเรื่อง ของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ รวมถึงจำนวน นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี จึงเป็นทำเลที่เหมาะสมกับการเปิดตัวแบรนด์ เดอะสแตนดาร์ด นอกจากนี้ เราได้ตัดสินใจ เลือกกรุงเทพฯเป็นที่ตั้งสำนักงานประจำภูมิภาค เพื่อดูแลการดำเนินธุรกิจทั้งหมดในแถบเอเชียและตะวันออกกลาง"

          และด้วยจำนวนโรงแรมทั้งหมด 6 แห่ง รวมโรงแรมแห่งใหม่ที่จะเปิดในลอนดอนไตรมาสแรกปีหน้า จะทำให้โรงแรม เดอะ สแตนดาร์ด มีห้องพักรวมกันกว่า 1,200 ห้อง มีร้านอาหารและเครื่องดื่ม 24 ร้าน สามารถสร้างรายได้ปีละประมาณ 200 ล้านดอลลาร์ หรือราว 6,600 ล้านบาท

          โดยสัดส่วนรายได้มากกว่า 50% มาจาก ค่าใช้จ่ายด้านไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ขณะที่ อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 85% มีรายได้ เฉลี่ยต่อห้องพักเติบโตถึง 121% โดยทุกแห่งมีอัตราที่ใกล้เคียงกัน โดยเดอะสแตนดาร์ดยังมีสัดส่วนการจองห้องพักจากลูกค้าโดยตรงและการกลับมาใช้บริการซ้ำของแขกที่สูงเป็นอย่างมาก ช่วยสะท้อนความแข็งแกร่งของแบรนด์

          จิมมี่ ซูฮ์ ประธานบริหารและผู้ร่วมก่อตั้งแอพพลิเคชั่น One Night กล่าวว่า การเปิดตัว One Night ในกรุงเทพฯครั้งนี้ ได้รวบรวมโรงแรมอิสระในกรุงเทพฯ 16 แห่ง มาเสนอขายบนแพลตฟอร์ม หลังจากเปิดให้บริการแล้วใน 15 เมือง ครอบคลุมโรงแรมอิสระกว่า 170 แห่ง และมีแผนขยายเครือข่ายให้ครอบคลุม 30 เมืองทั่วโลก รวมทั้งเอเชียและยุโรปภายในสิ้นปี 2563 โดยแนวคิดของแอพฯสอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการบริการสั่งได้ทันทีอย่างใจหรือ On-Demand Service ผ่านทางสมาร์ทโฟน
 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ