วิจิตรากรุ๊ป ผุดอสังหาฯรับโปรเจกต์ เจริญ คาดแปลงประมูล4.3พันไร่บูมบางนา-EECหนุน
Loading

วิจิตรากรุ๊ป ผุดอสังหาฯรับโปรเจกต์ เจริญ คาดแปลงประมูล4.3พันไร่บูมบางนา-EECหนุน

วันที่ : 29 ตุลาคม 2561
บอสใหญ่ "วิจิตรา กรุ๊ป" ชี้อสังหาฯทำเลอีอีซี รับอานิสงส์เต็มๆ จากนโยบายภาครัฐ ระบุรายใหญ่แห่ลงทุนในจังหวัดฉะเชิงเทรา รับการเติบโต เมืองและนิคมฯ ดันราคาที่ดินปรับตัว 15-20% ชำแหละตลาดอสังหาฯโตต่อเนื่อง รอบๆ ห้างโรบินสัน ผุดโครงการเพียบ ย้ำไม่หวั่นคู่แข่งทลัก
          บอสใหญ่ "วิจิตรา กรุ๊ป" ชี้อสังหาฯทำเลอีอีซี รับอานิสงส์เต็มๆ จากนโยบายภาครัฐ ระบุรายใหญ่แห่ลงทุนในจังหวัดฉะเชิงเทรา รับการเติบโต เมืองและนิคมฯ ดันราคาที่ดินปรับตัว 15-20% ชำแหละตลาดอสังหาฯโตต่อเนื่อง รอบๆ ห้างโรบินสัน ผุดโครงการเพียบ ย้ำไม่หวั่นคู่แข่งทลัก เหตุต้นทุนที่ดินต่ำ ฐานลูกค้าแน่นปึ๊ก รายใหม่ออกสินค้าต้องทำราคาสูง มั่นใจ ท่าน "เจ้าสัว เจริญ" เนรมิตที่ดิน 4,300 ไร่ ทำให้ความเจริญโซนบางนาโตขึ้นไปอีก ซุ่มพัฒนาโครงการ ติดแปลงเจ้าสัวรูปแบบแนวราบ-คอนโดฯ หลายพันล้านบาท คาดสิ้นปี 61 มียอดขายแตะ 800 ล้านบาท โต 10-15% แย้มศึกษาโมเดลปรับโครงสร้างบริษัทในเครือ รับแผนเข้าตลาดหุ้น
          ดร.สืบวงษ์ สุขะมงคล ประธานกรรมการบริหาร วิจิตรากรุ๊ป ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ได้สะท้อนมุมมองต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ในฐานะที่เป็นผู้นำในจังหวัด ผ่านการเปิดมาแล้ว 10 โครงการ กล่าวว่า หลังจากภาครัฐได้มีการประกาศให้เป็นพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ส่งผลให้ในปี 2561 นี้ มีผู้ประกอบการรายใหญ่จากกรุงเทพฯ เข้ามาลงทุนและพัฒนาโครงการมากยิ่งขึ้น โดยตามแนวถนนทางหลวงหมายเลข 314 ที่เชื่อมมอเตอร์เวย์ไปถึงบางนา โดยเฉพาะเส้นจากมอเตอร์เวย์ไปห้างสรรพสินค้าโรบินสันฉะเชิงเทรา มีผู้ประกอบการเข้ามาพัฒนาโครงการเป็นจำนวนมากถึง 51 โครงการ ประกอบกับ ปัจจัยบวกเรื่องความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคทั้งจากในจังหวัดและลูกค้าที่มาจากกรุงเทพฯ และจากนิคมอุตสาหกรรม 4 แห่ง อันได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ นิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้ และนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ 304 ส่งผลให้ราคาที่ดินมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 15-20%
          ปัจจุบัน 51 โครงการ มีจำนวนรวมกว่า  12,400 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 36,000 ล้านบาท มีอัตราดูดซับค่อนข้างดี ประเภทที่อยู่อาศัยที่เปิด ส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดรวม 55% ระดับราคา 3-5 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ 37% ระดับราคา 1.9-3 ล้านบาท และอาคารพาณิชย์และอาคารชุดเพียง 8% ทำเลหลักที่โครงการเกิดขึ้นจำนวนมาก จะอยู่ที่ อ.เมืองฉะเชิงเทรา 60% อ.บางปะกง 22% อ.บ้านโพธิ์ 13% และอ.แปลงยาว 5% โครงการที่ลงทุนแยกเป็น บริษัทอสังหาฯในตลาดหลักทรัพย์สัดส่วนเพิ่มมาเป็น 40% และบริษัทนอกตลาด 60% ทั้งนี้ จากข้อมูลจะพบว่า นับตั้งแต่ปี 2558-60 มูลค่าโครงการรวมที่เปิดตัวมากกว่า 10,000 ล้านบาททุกปี จาก ที่ในปี 2557 อยู่ที่ 9,858 ล้านบาท โดยยูนิตเหลือขายมีประมาณ 3,000 ล้านบาท
          "เรื่องการแข่งขันเราไม่กลัว เรามีแต้มต่อที่สูงกว่า เนื่องจากต้นทุนราคาที่ดินที่ต่ำกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เข้ามา ส่งผลให้รายใหม่ที่เข้ามาต้องพัฒนาโปรดักส์ที่ราคาสูงกว่า คาดน่าจะจับกลุ่มลูกค้า 5 ล้านบาทขึ้น และต้องให้มากกว่ารายอื่น ส่งผลต่อมาร์จิ้นที่ลดลง ในขณะที่ มารวย ไม่ต้องไปแข่งเรื่องสงครามราคา เนื่องจากโครงการของเรามีโปรดักต์ทั้งบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ซึ่งบ้านแฝดจะราคาต่างกว่าคู่แข่งที่ทำบ้านเดี่ยวกว่า 5 แสนบาท และสำคัญคือ การที่ตลาด ระดับ 5 ล้านบาท ถูกทดสอบตลาดโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ ทำให้เรากำลังพัฒนาบ้านพรีเมียมระดับ 5 ล้านบาทขึ้น ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงกับรายใหญ่"
          มั่นใจ "เจ้าสัวเจริญ"เนรมิต 4.3 พันไร่ บางนา บูมสุดๆ
          สำหรับความเคลื่อนไหวของการประมูลที่ดิน 4,300 ไร่ บนถนนบางนาตราด กม.32.5 ซึ่งเดิมเป็นของอดีตบริษัทกฤษดามหานคร (เคเอ็มซี) และกรมบังคับคดีนำออกมาประมูล โดยบริษัทที่ชนะการประมูลคือ บริษัท ทีอาร์เอ แลนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ที่มี บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON (เป็นบริษัทในกลุ่มของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี)และ ROJNA เป็นผู้ร่วมทุนหลัก และนิคมอุตสาหกรรมเอเชียนั้น ดร.สืบวงษ์ กล่าวว่า ทางบริษัทมีแปลงที่ดินติดกับแปลงดังกล่าวประมาณ 200 ไร่ ใกล้นิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ มา พัฒนาโครงการ ซึ่งถ้าดำเนินการทั้งหมด จะมีมูลค่าหลายพันล้านบาท ในเบื้องต้นพัฒนาบนเนื้อที่กว่า 30 ไร่ ภายใต้แบรนด์ น้องใหม่ เดอะ เทรชเชอร์ โฮม (บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด) และเดอะ เทรชเชอร์ วิลล์ (ทาวน์เฮาส์) มูลค่าประมาณ 800 ล้านบาท เปิดขายในปี 62 รวมถึงจะมีโอกาสพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งเราเห็น โอกาส เนื่องจากในบริเวณเส้นบางนา-ตราด มีหอพักเปิดให้บริการไม่ต่ำกว่า 10,000 ยูนิต
          "ผมไม่คิดว่า ราคาที่ดินจะขยับไปจากการที่กลุ่มใหม่เข้ามาลงทุน เพราะราคาที่ดินโซนบางนาปรับขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว แถวๆนั้นแปลงหน้าถนนไร่ละ 30 ล้านบาท ลึกเข้าไปในซอยก็ 10 ล้านบาทต่อไร่ แต่แนวโน้มที่ดินแปลงดังกล่าวจะส่งผลความเจริญเติบโต ที่จะเห็นมากยิ่งขึ้น และเมื่อมีการพัฒนาและขายจริง ความเจริญจะขึ้นไปอีก  เพราะเส้นบางนาตราด อยู่ในทำเลศักยภาพ มีโครงการ เมกาบางนา และยังอยู่ในโซนอีอีซี บริเวณนี้น้ำไม่ท่วม ใกล้ท่าเรือ เหมาะทำโครงการมาก" ดร.สืบวงษ์ วิเคราะห์โอกาสการเกิดฮับแห่งใหม่อีก
          เปิดแผนปี 62-แต่งตัวเข้าตลาดหุ้น
          ดร.สืบวงษ์ กล่าวถึงทิศทางธุรกิจของบริษัทฯว่า ในปี  2562 และในอนาคต บริษัทได้กำหนด 4 กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ 1.การใช้นวัตกรรมในการพัฒนาโครงการให้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า 2.ขยายทำเลในการพัฒนาโครงการใหม่ให้กว้างขึ้น 3."มารวย 4.0" ด้วยการลงทุนในระบบไอที และนำนวัตกรรมมาปรับใช้กับบริษัท และ 4. การรีแบรนด์ เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์และสร้างการจดจำในตัวขององค์กรให้มากยิ่งขึ้น
          ในส่วนของแผนพัฒนาโครงการใหม่ ตั้งเป้าพัฒนาโครงการอย่างน้อย 2 โครงการ เช่น ทำเลอ่อนนุช-ลาดกระบัง คือ โครงการ มารวย ลาดกระบัง-อ่อนนุช เลื่อนมาเปิดขายปี 62 มูลค่าโครงการไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท โครงการมารวยโสธร 5 และโครงการเดิมในเฟสต่อเนื่อง ทั้งในจังหวัดหลัก ฉะเชิงเทรา สระแก้ว ชลบุรี มูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านบาท และมีแผนพัฒนาโครงการกระจายไปตามจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะภาคตะวันออกทั้งใน จังหวัดปราจีนบุรี ระยอง สระแก้ว และจันทบุรี
          สำหรับคืบหน้ายอดขายโครงการมารวยโสธร 4 ปัจจุบันขายไปแล้ว 60% และวางเป้าปิดขายปลายปีหน้า ปัจจุบันเหลือ 60-70 ยูนิต บ้านแฝดมียูนิตจำนวนมาก บ้านเดี่ยวมีเพียง 20% สำหรับในปี 2561 นี้บริษัทตั้งเป้ามียอดขาย 800 ล้านบาท เติบโต 10-15% และรับรู้รายได้ปีนี้ประมาณ 90% หรือ 720 ล้านบาท
          "แผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai ก็ยังคิดและเดินหน้าต่อ โดยมีที่ปรึกษาทางการเงินเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างศึกษาการจัดรูปแบบการดำเนินธุรกิจ ซึ่งแบรนด์หลักที่จะนำเข้า น่าจะเป็นบริษัทมารวยฯเข้าตลาดหุ้น และจะมีการปรับลดบริษัทในเครือให้เหลืออยู่เพียงบริษัทเดียว คาดว่ามูลค่าสินทรัพย์รวมน่าจะไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท ทั้งนี้คาดว่าทุกอย่างจะชัดเจนทั้งหมดภายใน 2 ปีข้างหน้า"
 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ