Aลั่น9เดือนพรีเซล8.2พันล้าน จ่อผุด4โครงการ5.3พันล้านQ4
Loading

Aลั่น9เดือนพรีเซล8.2พันล้าน จ่อผุด4โครงการ5.3พันล้านQ4

วันที่ : 17 ตุลาคม 2561
“อารียาฯ” เผย 9 เดือนแรก โกยยอดขาย 8,213 ล้านบาท คิดเป็นกว่า 82% ของเป้าปี 2561 ที่ตั้งไว้ 10,000 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าเปิด 4 โครงการ มูลค่ารวม 5,350 ล้านบาท ในไตรมาส 4/2561
          อารียาฯ” เผย 9 เดือนแรก โกยยอดขาย 8,213 ล้านบาท คิดเป็นกว่า 82% ของเป้าปี 2561 ที่ตั้งไว้ 10,000 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าเปิด  4 โครงการ มูลค่ารวม 5,350 ล้านบาท ในไตรมาส 4/2561

          นายวิศิษฎ์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ A เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา (เดือน ม.ค.-ก.ย.) บริษัทมียอดขาย (Presale) รวมจำนวน 8,213 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 2,874 ล้านบาท และจากโครงการแนวราบ จำนวน 5,339 ล้านบาท ซึ่งยอดขาย 9 เดือนแรก คิดเป็นสัดส่วนกว่า 82% ของเป้าหมายยอดขายรวม 10,000 ล้านบาท

          โดยในช่วงที่ผ่านมามีการเปิดตัวโครงการใหม่รวม จำนวน 6 โครงการ ประกอบด้วย 1. โครงการ อารียา บริกก์ รังสิต-วงแหวนฯ 2. โครงการ เดอะวิลเลจ หทัยราษฎร์-วงแหวน 3. โครงการ เดอะวิลเลจ บางนา-วงแหวน 4. โครงการ อารียา บุษบา ลาดพร้าว-เสรีไทย 5. โครงการ เอ สเปซ เมกา เฟส 2 และ 6. โครงการ อารียา บริกก์ รังสิต-วงแหวน 2

          ขณะที่ในช่วงไตรมาส 4/2561 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5,350 ล้านบาท ได้แก่ 1. โครงการ COMO PRIMO บางนา มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท, 2. โครงการ Mandarina เกษตร–รามอินทรา มูลค่าโครงการ 950 ล้านบาท, 3. โครงการคอนโดมิเนียม A Space Mega บางนา 2 มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท และ 4. โครงการ  The Parti เกษตร–นวมินทร์ มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท

          สำหรับภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทน่าจะมีการเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก จากการที่เศรษฐกิจไทยมีการเติบโต การลงทุนภาครัฐเริ่มมีการลงทุนอย่างชัดเจน และหนี้สินครัวเรือนมีแนวโน้มลดลง แต่การแข่งขันของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยังคงแข่งขันมากขึ้น จากการเปิดตัวโครงการใหม่ที่ออกมามากต่อเนื่อง

          อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ต้องระวัง คือ ตลาดคอนโดมิเนียมที่มีการเปิดโครงการออกมามาก และความต้องการซื้อในตลาดที่ผันผวน ทำให้มีความเสี่ยงสูงมากในการเปิดคอนโดมิเนียมในช่วงนี้ ซึ่งจะต้องมีการวิเคราะห์ทำเลให้ดี ส่วนโครงการแนวราบยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการซื้อยังมีสูงต่อเนื่อง โดยสัดส่วนการเปิดโครงการของบริษัทยังคงเป็นโครงการแนวราบมากมีสัดส่วน 60-70% และโครงการคอนโดมิเนียมมีสัดส่วน 30%

          “ปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ซึ่งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะต้องมีการปรับตัวตามเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งสามารถสรุปได้เป็น 5 เทรนด์ คือ 1. สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) 2. เทคโนโลยีการบริการในบ้านที่ออกแบบมาเพื่อลดขั้นตอน และเพื่อความสะดวกสบายที่ควบคุมได้จนกลายเป็นเรื่องปกติของทุกคน (Automation Becoming The New Norm)” นายวิศิษฎ์ กล่าว

          3. รสนิยมที่ยกระดับความหรูหราของสินค้าและการบริการ (Ultra–High–Net–Worth–Individuals meets Ultra Luxury real estate market) 4. การมองหาชีวิตที่ดี เข้าใกล้ธรรมชาติ เน้นสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้น (Seek for Green & Clean Living) และ 5. งานบริการหลังการขายที่กลายมาเป็นเรื่องหลักในการตัดสินใจซื้อบ้าน (Life At Home Begins After Sales)

          อย่างไรก็ตาม 5 เทรนด์ข้างต้น สอดคล้องกับ 4 ยุทธศาสตร์หลักในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วย งานออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นมาพร้อมกับคุณภาพ (Aesthetic Design & Premium Quality), ความสุขและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Sustainable Happiness) รวมถึงนวัตกรรมที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ทุกรูปแบบ (Innovative Living) และการให้บริการดูแลลูกบ้านตั้งแต่เริ่ม ตลอดจนบริการหลังการขายอย่างสุดความสามารถ (Best in Class after Sales Service) โดยบริษัทมีความพร้อมที่จะปรับและก้าวให้ทันตามเทรนด์ของผู้บริโภคในทุกยุคทุกสมัย
 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ